ช่วงหลังปีใหม่ยุ่งๆอยู่หลายวัน เพิ่งมีโอกาสเลย post มาให้อ่านกันเล่นๆ ผมกับครอบครัวพร้อมด้วยเจ้า Peugeot สีแดงคู่ใจเริ่มออกเดินทางออกจากกรุงเทพ ตอน 23:00 น ของวันที่ 28 ธันวาคม ขับรวดเดียวยาวเลย จนไปหมดแรงที่ทางลงจากขุนตาล ก็เลยหลับในรถนอนเอาแรงในปั๊มแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเช้าแล้ว หลับสนิทไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าก็ขับรถต่อจนไปถึงตัวเมืองลำปาง แวะเติมน้ำมันและตรวจสอบอัตราบริโภค ได้ประมาณ 13 km/ลิตร ความเร็วในการขับจากกรุงเทพ ถึง ลำปาง อยู่ในช่วง 100-120 km/ชั่วโมง แวะใช้บริการนั่งรถม้าเมืองลำปางเที่ยวชมเมือง รอบเล็กประมาณ 20 นาที ราคา 150 บาท รอบใหญ่ประมาณ 30 นาที ราคา 200 บาท มีตอนต่อไปนะครับ

ICQ :

วันที่ 29 ธันวาคม หลังจากนั่งรถม้าชมเมืองเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายคืออุทยานแห่งชาติน้ำตกแจ้ซ้อน เนื้อที่ภายในอุทยานกว้าขวางเป็นธรรมชาติ การเดินทางก็ไม่ลำบาก ถนนหนทางดีมาก พอหาที่เหมาะๆกางเต้นส์ได้แล้ว พวกเราก็เริ่มออกสำรวจเดินเที่ยวกันเลย แห่งแรกคือน้ำตกแจ้ซ้อน เป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่ง มีหลายชั้น มีทางเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด เล่นเอาเหนื่อยเลย ช่วงที่ไปเที่ยวนี่น้ำยังมากพอสมควร แต่ที่จอดรถจะหายากหน่อย เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล หลังจากเดินเที่ยวน้ำตกเราก็กลับมาใกล้ๆที่พัก ซึ่งจะมีบ่อน้ำพุร้อนให้นั่งแช่เท้าพอให้ผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าในการขับรถ อ้อแล้วก็ไม่ลืมต้มไข่ด้วยครับ บ่อน้ำพุร้อนกับไข่ต้มนี่เป็นของคู่กันเลยนะครับ มีตอนต่อไปนะครับ

หลังจากนั่งแช่น้ำร้อนจนหายเมื่อยล้าแล้ว ท้องก็เริ่มหิวแล้วครับ เรากลับมาที่เต้นท์ที่พักแล้วรีบเตรียมหุงหาอาหาร เสบียงแวะซื้อระหว่างทาง อุปกรณ์ในการแคมปิ้งของเราไม่ค่อยพร้อมนัก แต่ก็พอจะประยุกต์ให้มีชีวิตอยู่รอดได้ แบบว่าชอบออกไปหาความลำบากนะครับ555 ห้องน้ำที่นี่มีจัดไว้เพียงพอที่จะรองรับนักท่องเที่ยวไม่ต้องห่วงครับ อากาศในยามค่ำคืนที่นี่ไม่ค่อยหนาวเย็นอย่างที่คิดไว้ เทอร์โมมิเตอร์ที่เราติดไว้หน้าเต้นส์บอกอุณหภูมิที่ประมาณ 18 องศาซี ค่ำคืนนี้พวกเรานั่งนับดาวและนอนหลับฝันผ่านพ้นค่ำคืนไปอย่างไม่ทรมานมากนัก มีโม้ต่อตอนต่อไปนะครับ

เช้าตรู่วันที่ 30 ธันวาคม หลังจากตื่นมาหุงหาอาหารเช้าทานเรียบร้อยแล้ว เราก็เก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางต่อ เป้าหมายคือภูชี้ฟ้า เชียงราย ก่อนไปเราก็ไม่ลืมแวะถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆในยามเช้าครับ เอาทนอ่านกันต่อนะครับ

ออกจากแจ้ซ้อนมุ่งหน้าสู่จังหวัดพะเยา โทรถามเส้นทางกับคุณสันต์ และคุณปอ ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่เชียงราย ก็ได้ข้อมูลว่าให้ขึ้นทางเชียงคำทางจะดีทกว่าทางเถลิง จากนั้นก็ใช้เส้นทางที่มุ่งไปอำเภอเชียงคาน แล้วก็วิ่งผ่านน้ำตกภูซาง เป็นน้ำตกที่เป็นน้ำอุ่นธรรมชาติแห่งเดียวในประเทศไทย อยู่ริมถนนเลยครับ มีต่ออีกครับ

ออกจากน้ำตกภูซาง คราวนี้ก็เริ่มถึงเส้นทางขึ้นเขามุ่งสู่ภูชี้ฟ้าแล้วครับ เส้นทางก็ค่อนข้างดีนะครับ มีช่วงชันมากๆเป็นช่วงๆ เจ้า 405 SRI เกียร์ออโต้ ของผมใส่เกียร์3 ก็ขึ้นได้สบาย ขับไปเรื่อยๆไม่ต้องรีบ ก็ขับขึ้นไปสูงมากเหมือนกัน ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ถึงที่พักกางเต้นส์ ระหว่างทางมีแวะพักรถสักครึ่งชั่วโมงที่ศูนย์เกษตรภูผาม่านมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ความร้อนรถก็ไม่สูงมาก อยู่ประมาณ 90 องศาซี หลังจากหาทำเลที่พักกางเต้นส์ได้แล้ว เป็นที่ราบบนเนินสูงมองเห็นวิวทิวทัศน์โดยทั่วของภูเขาย่านนี้ ซึ่งสวยงามมากครับขอบอก ย่านที่พักนี่คล้ายๆเป็นตลาดของชาวเขานักท่องเที่ยวพลุกพล่าน มีของกินของขายเยอะแยะ เราหาซื้อฟืนสำหรับก่อไฟให้ความอบอุ่นในค่ำคืนนี้ ในราคามัดละ 40 บาท อาหารมื้อค่ำในวันนี้ก็ถูกปรุงแต่งจนเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว เริ่มปรับตัวได้แล้วครับ ลมในยามค่ำคืนที่นี่ค่อนข้างแรงมาก แต่อากาศก็ไม่หนาวเย็นมากอย่างที่เราคลาดคิดไว้ เทอร์โมมิเตอร์บอกที่ประมาณ 15-16 องศาซี ดาวบนท้องฟ้าของที่นี่เห็นได้ชัดมากและมีจำนวนมากกว่า เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม เรารีบเข้านอนพักผ่อนเอาแรงสำหรับขึ้นภูในตอนเช้ามืด เช้ามืดตี4 วันที่ 31 ธันวาคม เรารีบตื่นและเตรียมตัวไปรอนั่งรถสองแถวขึ้นไปถึงจุดเดินเท้าขึ้นยอดภู ราคา 20 บาทต่อคน จากจุดเดินเท้า ระยะทาง 700 เมตรก็จะถึงยอดภูชี้ฟ้า ผู้คนเยอะแยะเต็มไปหมด เหมือนเดินตลาดเลย ระหว่างทางมีคนเป็นลมด้วย ที่นี่เป็นที่แรกที่ผมคนเดินแน่นไปหมดจนเดินไม่ได้บนภูสูง ชาวเขาที่นี่คงงงว่าพวกนี้มากันทำไม อากาศค่อนข้างปิดหมอกลงหนามากจนมองแทบไม่เห็นทางเดิน ลมก็แรงมากๆ พอลมแรงพัดหมอกเคลื่อนตัวไปจนมองเห็นทิวทัศน์ของภูชี้ฟ้า เสียงผู้คนก็พร้อมใจกันอื้ออึงกับความงามที่เห็นอยู่ตรงหน้า เห็นแล้วทำให้หายเหนื่อยจากการเดินทางเลยครับ เอ้ามีต่ออีกนะครับ

หลังจากชมความงามของบรรยากาศภูชี้ฟ้าจนอิ่มเอมใจแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเดินทางต่อแล้วครับ ผมใช้เส้นทางเดิมตอนขาขึ้นคือ ลงทางเชียงคาน จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่จัหวัดเชียงราย พอถึงเชียงรายก็โทรคุยทักทายกับคุณสันต์ แกอยู่เชียงรายครับ ก็ได้รับความช่วยเหลือในการให้ข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจริงๆครับ ผมเลยขอถ่ายรูปกับแกเป็นที่ระลึกเลยครับ แกใช้ 205 เป็นรถประจำ แต่แกก็มีเจ้า 405 SRI รุ่นเดียวกับผมเป็นรถเฉพาะกิจอีกคันครับ นี่แหละแฟน vlovepeugeot ยุคแรกๆเลยครับ อ้อลืมบอกไปผมก็เพิ่งเจอตัวจริงแกวันนั้นแหละครับ ขอบคุณพี่สันต์ไว้นะที่นี้ด้วยนะครับ ส่วนคุณปอนี่ไม่ได้เจอกัน พอดีผมรีบต้องเดินทางอีกไกลครับ เอามีต่อนะครับ

ออกจากเชียงรายใช้เส้นทางเชียงแสน มุ่งหน้าสู่สามเหลี่ยมทองคำ ก็ใช้บริการนั่งเรือหางยาวท่องน่านน้ำตรงสามเหลี่ยมทองคำ ราคาเหมาลำ 300 บาท ประมาณครึ่งชั่วโมง และก็แวะไปเดินเล่น เหยียบแผ่นดินลาวเสียหน่อยครับ จากนั้นก็รีบหาห้องพักในย่านนั้นพักผ่อนในค่ำคืน ราคา 600 บาท กางเต้นส์ที่นี่จะไม่ค่อยสะดวกผู้คนพลุกพล่านเกินไป อาหารค่ำคืนนี้จึงเป็นบรรยากาศร้านอาหารใต้แสงเทียนริมแม่น้ำย่านสามเหลี่ยมทองคำ ก็สวยดีนะครับ ในยาวค่ำคืน มีต่อครับ

จากเชียงรายใช้เส้นทางเชียงแสน มุ่งหน้าสู่สามเหลี่ยมทองคำ ก็ใช้บริการนั่งเรือหางยาวท่องน่านน้ำตรงสามเหลี่ยมทองคำ ราคาเหมาลำ 300 บาท ประมาณครึ่งชั่วโมง และก็แวะไปเดินเล่น เหยียบแผ่นดินลาวเสียหน่อยครับ จากนั้นก็รีบหาห้องพักในย่านนั้นพักผ่อนในค่ำคืน ราคา 600 บาท กางเต้นส์ที่นี่จะไม่ค่อยสะดวกผู้คนพลุกพล่านเกินไป อาหารค่ำคืนนี้จึงเป็นบรรยากาศร้านอาหารใต้แสงเทียนริมแม่น้ำย่านสามเหลี่ยมทองคำ ก็สวยดีนะครับ ในยาวค่ำคืน มีต่อครับ

เช้าวันที่ 1 ปีใหม่แล้ว แย่จังแก่ไปอีกปีนึงแล้วเรา555 ออกจากสามเหลี่ยมทองคำเราก็มุ่งหน้าสู่แม่สาย จริงๆแล้วตั้งใจจะไปเที่ยวตำหนักดอยตุง แต่เปลี่ยนใจเข้าไปเที่ยวพม่าทางด่านแม่สายดีกว่า ค่าทำใบผ่านทางคนละ 40 บาท ถ้าจำไม่ผิดจะไปเสียที่ฝั่งพม่าอีก 10 บาทมั้ง ก็ใช้บริการสามล้อถีบพาเที่ยวสถานที่สำคัญในย่านนั้น ก็แวะชมรูปปั้นบุเรงนอง วัดพระพุทธรูปสามมิติ เจดีชเวดากอง ประตูวัดที่หลงเหลือสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง นี่เป็นข้อมูลจากไกด์สามล้อถีบว่ามานะครับ555 ตอนขากลับเพิ่งนึกได้ว่าลืมวางใบผ่านทางไว้ที่กระถางรูปปั้นบุเรงนอง ไม่งั้นป่านนี้มีคำว่าหม่องนำหน้าชื่อแล้ว5555 ผู้คนที่นี่แก่งแย่งทำกินแบบปากกัดเท้าถีบเลยครับ ใกล้จบแล้วครับทนอ่านอีกหน่อย

เช้าวันที่ 1 ปีใหม่แล้ว แย่จังแก่ไปอีกปีนึงแล้วเรา555 ออกจากสามเหลี่ยมทองคำเราก็มุ่งหน้าสู่แม่สาย จริงๆแล้วตั้งใจจะไปเที่ยวตำหนักดอยตุง แต่เปลี่ยนใจเข้าไปเที่ยวพม่าทางด่านแม่สายดีกว่า ค่าทำใบผ่านทางคนละ 40 บาท ถ้าจำไม่ผิดจะไปเสียที่ฝั่งพม่าอีก 10 บาทมั้ง ก็ใช้บริการสามล้อถีบพาเที่ยวสถานที่สำคัญในย่านนั้น ก็แวะชมรูปปั้นบุเรงนอง วัดพระพุทธรูปสามมิติ เจดีชเวดากอง ประตูวัดที่หลงเหลือสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง นี่เป็นข้อมูลจากไกด์สามล้อถีบว่ามานะครับ555 ตอนขากลับเพิ่งนึกได้ว่าลืมวางใบผ่านทางไว้ที่กระถางรูปปั้นบุเรงนอง ไม่งั้นป่านนี้มีคำว่าหม่องนำหน้าชื่อแล้ว5555 ผู้คนที่นี่แก่งแย่งทำกินแบบปากกัดเท้าถีบเลยครับ ใกล้จบแล้วครับทนอ่านอีกหน่อย

จากแม่สายก็รีบมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ ตลอดทางก็โทรถามเส้นทางจากคุณอ๋องตลอดเลยครับ ต้องขอขอบคุณไว้นะที่นี้ด้วย ผมใช้เส้นทางแม่สรวยเข้าสู่เชียงใหม่ทางดอยสเก็ด เส้นทางดีมากครับ แต่โค้งเยอะและมีเนินเขาให้ออกแรงปีนเยอะเหมือนกัน แต่ Peugeot ซะอย่างไปได้ทั่วไทยอยู่แล้ว พอถึงเชียงใหม่ก็เย็นมากแล้ว เราตัดสินใจเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติออบหลวง ตลอดเส้นทางจากอำเภอจอมทองจนถึงออบหลวงนี่มืดสนิทเลยครับ แถมมีฝนตกพรำๆตลอดเลยครับ ไม่อยากนึกภาพตอนรถเสียเลยครับ นึกย้อนไปแล้วก็รู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเสี่ยงไปหน่อย ก็คงเข็ดแล้วละครับ5555 ยังไงก็แล้วแต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี รถผมไม่ทรยศครับ อาหารค่ำคืนนั้นเราใช้บริการร้านอาหารหน้าอุทยานครับ ส่วนเต้นส์เราได้ทำเลเหมาะหลบฝนได้สบายครับ เป็นโรงรถของเจ้าหน้าที่ที่นั่นเอื้อเฟื้อให้ งานนี้มากะดวงจริงๆ นี่แหละที่เค้าเรียกว่าไปตายเอาดาบหน้า คงนึกภาพกันออกนะครับ555 ตอนเช้าวันที่ 2 เราตื่นมานั่งฟังเสียงสายน้ำที่เชี่ยวกราด ไหลผ่านหินยักษ์ที่เรียกกันว่าออบหลวง หลังจากหุงหาอาหารเช้าและทานกันเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินชมเส้นทางย้อนประวัติศาสตร์ดึกดำบรรพ์ ตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เค้าจัดเตรียมไว้ สายๆวันนั้นเราออกจากออบหลวงมุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนย์ และแวะพักกางเต้นท์ที่ลานหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว สายฝนยังคงพรำๆทั้งวันเลยครับ สายๆของวันที่ 3 เราก็ขับรถขึ้นส฿ยอดดอยอินทนนย์ เส้นทางค่อนข้างสูงชันมากในช่วงใกล้ถึงยอดเขา ต้องใส่เกียร์2 จึงจะขึ้นสบายๆหน่อย อุณหภูมิน้ำหม้อน้ำจะอยู่ในช่วง90-92 องศาซี ก็มีแวะพักรถบ้าง พัก2ช่วง หลังจากเที่ยวอินทนนย์เสร็จบ่ายๆวันนั้นก็เก็บข้าวของเดินทางกลับสู่กรุงเทพ โคยสวัสดิภาพครับ ถึงกรุงเทพเกือบตี4 ของวันที่4 ครับ เฉลี่ยอัตราบริโภคตลอดการเดินทางจะอยู่ประมาณ 11-11.5 km/ลิตรครับ ขับรถไปทั้งหมดเกือบ 2600 km หมดค่าน้ำมันไปประมาณ 3800 บาทครับ สุขสันต์วันปีใหม่นะครับทุกท่าน จบเพียงเท่านี้แล้วครับ

หน้าตาโทรมเชียวพี่สันต์ ถ้าจะหนักมาล่ะก้า

อิจฉาจัง อยากไปมั่งครับ ไม่ได้ไปไหนเลย

อ้อ.... สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังนะครับ

ผมก้อขึ้นเหนือครับ ไปภูชี้ฟ้า และก้ออุทยานแห่งชาติขุนแจ ขาขึ้นไม่เจอpeu เลยครับแต่ไปเจอที่พักขุนแจ 3คัน มี405 สีขาวและสีเขียวครับ และก้อ306อีกคัน แต่ไม่เจอคุณfish น่าเสียดาย

อ่านไปนึกภาพตามไป เหมือนกับได้ร่วมเดินทางไปด้วย น่าสนุกมาก
อีกหน่อยผมคงต้องเอาไอ้ตัวแสบของผมไปลุยไกลๆอย่างคุณปลาบ้างซะแล้ว

โห เที่ยวซะทั่วเลย อยากพา สาวๆที่ไม่ใช่เมียไปบ้าง!!!!!! แบบ กางเต๊น คิดว่าไม่น่าจะมีใครตามเจอ ถึงเจอก้คงตามเจ้า 405 ไม่ทันเพราะโค้งเยอะ!!!!

ยินดีที่ได้พบกับคุณปลา และเพื่อนๆทุกคนที่ไปเที่ยวเชียงรายครับ ส่วนคุณปอนั้นผมไม่เป็นห่วงเพราะมีคนใกล้ชิดดูแลอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะไปเชียงรายช่วงเวลาไหนผมยินดีต้อนรับครับ
สรรค์