ไปอ่านเจอมา http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02p0101020450&show=1§ionid=0201&day=2007/04/05&page=1
แบ่งสมบัติ"ยนตรกิจ"หมื่นล้าน จุดเปลี่ยนระบบ"กงสี"สู่"มืออาชีพ"
ปิดฉากศึกสายเลือด "ยนตรกิจกรุ๊ป" พี่น้องตระกูล "ลีนุตพงษ์" ทั้ง 2 ขั้ว แบ่งสมบัติกันลงตัว เซ็นสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัทในเครือมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา "เสี่ยเชียร ลีนุตพงษ์" นำทีมขอซื้อหุ้นทั้งหมดจากอีกฝ่าย "วิฑิต" ยุติบทบาทที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ เตรียมนำมืออาชีพเข้ามานั่งบริหารแทนหวังยกระดับสู่อินเตอร์ พร้อมเจรจาขยายธุรกิจเพิ่ม เล็งดึงรถจากจีนเข้ามาผลิตและจำหน่าย
แหล่งข่าวระดับบริหารจากกลุ่มยนตรกิจกรุ๊ป ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์โฟล์กสวาเกน ออดี้ ซีตรอง เปอโยต์ เกีย สโกด้า และเซียท เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ทางผู้ถือหุ้นกลุ่มยนตรกิจกรุ๊ปซึ่งประกอบด้วยบรรดาพี่น้องในตระกูล "ลีนุตพงษ์" จำนวน 18 คน ได้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายหุ้นของบริษัทในเครือระหว่างกันอย่างเป็นทางการ ในมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
โดยผู้ถือหุ้นที่เป็นฝ่ายซื้อกิจการนำทีมโดยนายวิเชียร ลีนุตพงษ์, นายสรวิชญ์ ลีนุตพงษ์ และนายถาวร ลีนุตพงษ์ ส่วนผู้ถือหุ้นที่ขายกิจการมีหลายคนด้วยกัน อาทิ นายวิฑิต ลีนุตพงษ์, นายพงษ์เทพ ลีนุตพงษ์, นายวิโรจน์ ลีนุตพงษ์, นายพสุพงษ์ ลีนุตพงษ์ เป็นต้น
สำหรับกิจการในกลุ่มยนตรกิจทั้งหมดประกอบด้วยบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ทั้ง 7 ยี่ห้อ ได้แก่ โฟล์กสวาเกน ออดี้ ซีตรอง เปอโยต์ เกีย สโกด้า และเซียท บริษัทผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์เพรจิโอ โรงงานประกอบรถยนต์คือบริษัท วายเอ็มซี แอสเซมบลีย์ จำกัด โรงงานทำแม่พิมพ์บริษัทโอกิฮารา ไทยแลนด์ จำกัด โรงงานปั๊มตัวถังรถยนต์บริษัทยนตรกิจ อินดัสตรีย์ จำกัด โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์บริษัทเอทีพี อินดัสทรีย์ จำกัด และยังมีบริษัทย่อยอื่นๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์อีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งนี้ได้มีการคำนวณมูลค่าหุ้นของบริษัทในเครือยนตรกิจกรุ๊ปทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งในการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ทางผู้ถือหุ้นฝ่ายซื้อกิจการได้ตกลงซื้อหุ้นทั้งหมดมาเป็นของฝ่ายตน โดยคิดเป็นมูลค่าในการซื้อขายประมาณ 5,000 ล้านบาท
"ที่ผ่านมาพี่น้องในตระกูลลีนุตพงษ์ทั้ง 18 คน ที่ถือหุ้นไขว้กันอยู่ในยนตรกิจกรุ๊ป ต่างแบ่งกันบริหารงานของบริษัทในเครืออย่างชัดเจน แต่ด้วยความที่นโยบายบางอย่างไม่ตรงกัน ทำให้การทำงานบางส่วนไม่ค่อยราบรื่นนัก จึงได้มีการเจรจาให้เกิดดิวนี้ขึ้น เพื่อตัดปัญหาความไม่ลงรอยกัน และให้การทำงานของยนตรกิจกรุ๊ปเป็นไปในทิศทางเดียวกัน" แหล่งข่าวกล่าว
ก่อนหน้านี้กลุ่มยนตรกิจได้มีการแบ่งเค้กการบริหารงานกันมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยในส่วนของบริษัทที่ทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทั้ง 7 ยี่ห้อ ได้จัดแบ่งเป็นกลุ่มเอ และกลุ่มบี โดยกลุ่มเอประกอบด้วยโฟล์กสวาเกน ออดี้ และเซียท มีนายวิเชียร ลีนุตพงษ์ และนายสรวิชญ์ ลีนุตพงษ์ เป็นผู้นำในการบริหารงาน กลุ่มบีประกอบด้วย เปอโยต์ ซีตรอง สโกด้า และเกีย มีนายวิฑิต ลีนุตพงษ์ นายวิโรจน์ ลีนุตพงษ์ และนายพสุพงษ์ ลีนุตพงษ์ เป็นผู้นำในการบริหารงาน
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการทำตลาดรถยนต์ของทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ได้มีการประสานงานกันมากนัก ต่างฝ่ายต่างดูแลงานที่ตนรับผิดชอบ แม้ว่าทุกบริษัทจะอยู่ภายใต้เครือยนตรกิจกรุ๊ปก็ตาม ดังนั้นการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้น่าจะเป็นการยุติปัญหาสำหรับพี่น้องทั้ง 2 สาย
"กลุ่มยนตรกิจก่อตั้งขึ้นโดยนายอรรถพร ลีนุตพงษ์ และนายอรรถพงษ์ ลีนุตพงษ์ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน หลังจากที่นายอรรถพรเสียชีวิตลง ได้มีการปรับโครงสร้างผู้บริหารกันใหม่ โดยมีลูกชายของทั้ง 2 คน เข้ามานั่งเป็นกรรมการบริหารในบอร์ด ซึ่งประกอบด้วยนายสรวิชญ์และนายวิฑิต ซึ่งเป็นลูกชายคนละแม่ของนายอรรถพร รวมทั้งนายพงษ์เทพและนายพลกฤต ซึ่งเป็นลูกชายคนละแม่ของนายอรรถพงษ์ ซึ่งดิวการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ทางพี่น้องทั้งหมดได้เจรจาตกลงกันในรายละเอียดและมีการเซ็นสัญญากันไปเรียบร้อยแล้ว"
นอกจากนั้นก่อนหน้านี้ทางกลุ่มยนตรกิจกรุ๊ปได้มีการปรับลดขนาดองค์กรลงครั้งหนึ่งแล้ว โดยเน้นการลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับสถาน การณ์เศรษฐกิจ ซึ่งบางหน่วยงานมีขนาดองค์กรที่ใหญ่กว่างานที่รับชอบ ทำให้ทางกลุ่มต้องปรับขนาดขององค์กรแต่ละหน่วยให้เหมาะสมกับสภาพงานที่รับผิดชอบจริง
ทั้งนี้เนื่องจากธนาคารเจ้าหนี้ของกลุ่มยนตรกิจได้แนะนำให้ทางกลุ่มลดขนาดองค์กรลง เพื่อให้เกิดการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ และสามารถทำกำไรได้
ทางคณะผู้บริหารจึงได้มีการพิจารณาและกำหนดเป็นนโยบายออกมา โดยให้แต่ละหน่วยงานหาแนวทางในการลดต้นทุนของตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการลดจำนวนพนักงานลง ทั้งแบบที่สมัครใจและให้เกษียณก่อนกำหนด โดยบริษัทจะจ่ายค่าตอบแทนให้ตามข้อกำหนดของกฎหมาย
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับอนาคตของกลุ่มยนตรกิจนั้น คงจะดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายรถยนต์ที่มีอยู่ต่อไป โดยนโยบายหลักจะเน้นให้ผู้บริหารมืออาชีพเข้ามานั่งบริหารงานในบริษัทในเครือทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาการบริหารของยนตรกิจเป็นรูปแบบครอบครัว ประกอบกับการ แข่งขันในตลาดรถยุโรปที่ยนตรกิจครอบครองไว้จำนวนมาก มักถูกคู่แข่งที่สำคัญจากค่ายญี่ปุ่นทำให้สูญเสียตลาดไปค่อนข้างเยอะ จำเป็นต้องหามืออาชีพเข้ามาดูแล
นอกจากนั้นยังมีโครงการที่จะขยายธุรกิจด้านยานยนต์ออกไปมากขึ้น ทั้งการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ หรือแม้แต่การนำรถยนต์ยี่ห้อใหม่ๆ เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย
"ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ชื่อยนตรกิจจะคงไว้หรือเปล่า เพราะที่ผ่านมากว่า 50 ปี แม้ชื่อนี้จะมีส่วนทำกิจการเจริญรุ่งเรือง แต่ในแง่มุมของการทำตลาดรถยนต์ก็มีเสียหายอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะปัญหาเรื่องบริการหลังการขาย ดังนั้นอนาคตอาจเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนให้ดีขึ้น" แหล่งข่าวกล่าว
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า ทางยนตรกิจกำลังเจรจากับคู่ค้ารายใหม่หลายโครงการ อาทิ การร่วมทุนกับบริษัทรถยนต์จากประเทศจีน ในการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกไปจีนและจำหน่ายในประเทศไทยด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาในรายละเอียด และยังมีโครงการนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อใหม่ๆ ในประเทศ ซึ่งมีบริษัทรถยนต์ที่ยังไม่ได้เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยเข้ามาติดต่อเจรจาหลายรายแล้ว ทั้งนี้โครงการใหม่ทั้งหมด ยังไม่ได้มีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม เพียงแต่มีการเจรจากันในขั้นต้น และบางโครงการกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เท่านั้น
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02p0102020450§ionid=0201 ตำนานอันยิ่งใหญ่ของตระกูล "ลีนุตพงษ์"
ในบรรดาเจ้าสัวรถยนต์บ้านเรา ค่าย "ยนตรกิจ" ของตระกูล "ลีนุตพงษ์" ถือเป็นอีกค่ายหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ "วิริยะพันธ์" "พรประภา" "พรรณเชษฐ์" หรือ "จึงสงวนพรสุข"
ยนตรกิจเคยได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อรถยนต์ยุโรปอย่างเต็มตัว เพราะเป็นกลุ่มบริษัทของคนไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของค่ายยุโรปถึง 10 ยี่ห้อ ได้แก่ บีเอ็มฯ ออดี้ เปอโยต์ ซีตรอง เบนท์ลีย์ โรลสรอยซ์ เซียท สโกด้า โฟล์กสวาเกน และเกีย จากเกาหลี
ก้าวย่างความสำเร็จของยนตรกิจ เริ่มจากปี 2492 "อรรถพร และอรรถพงษ์" สองพี่น้องตระกูลลีนุตพงษ์ เริ่มธุรกิจค้าเศษเหล็กและอะไหล่ในย่านเซียงกง มีร้านชื่อ "ลี้เล็ง" ก่อนที่จะขยายกิจการมาขายยานพาหนะเหลือใช้ของทหารจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยนำซากรถมาปรับปรุงใหม่จนขายดิบขายดี
ถัดมาปี 2504 บริษัท เอเซียมอเตอร์ (บางกอก) จำกัด ของสองพี่น้องได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู
โดยมีการสั่งซื้อรถยนต์จากดีลเลอร์ในสิงคโปร์อีกทอดหนึ่ง ขายบีเอ็มฯ จนเจริญรุ่งเรือง ในไม่ช้าก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายขายบีเอ็มฯแต่เพียงผู้เดียว
ปี 2508 ยังได้รับการแต่งตั้งเพิ่มเติมให้ขายรถยนต์แลนเซีย จากอิตาลี หลังจากนั้นก็มีโอกาสเป็นตัวแทนจำหน่ายรถอีกหลายยี่ห้อ ทั้งเปอโยต์ และซีตรอง ฟอร์ด
ต่อมาในปี 2516 รัฐบาลได้กำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับรถยนต์นำเข้า 80% และรถยนต์ที่ประกอบในประเทศ 33% ทำให้ยนตรกิจตัดสินใจตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ขึ้นเองในประเทศ โดยก่อตั้งโรงงาน "วายเอ็มซี" หลังจากนั้นอีกสองปี การเจรจาเพื่อนำรถบีเอ็มฯมาผลิตในประเทศก็เป็นผลสำเร็จ โดยโรงงานแห่งนี้ได้ประกอบรถบีเอ็มฯรุ่น ซีรีส์ 3 และซีรีส์ 5 ยุคนั้นถือเป็นยุคเฟื่องฟูของยนตรกิจ
ในปี 2519 รัฐบาลห้ามนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป ส่งผลดีต่อโรงงานวายเอ็มซี ซึ่งได้ประกอบรถยนต์เปอโยต์รุ่น 504 และเป็นรุ่นที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในโลก
ความพยายามของสองพี่น้องตระกูล "ลีนุตพงษ์" ไม่หยุดยั้งเพียงเท่านั้น เขาพยายามติดต่อฝรั่งเศส เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ซีตรอง และก็ไม่เกินความสามารถ นอกจากจะได้เป็นตัวแทนจำหน่ายแล้ว ในปี 2524 โรงงานวายเอ็มซียังได้ทำหน้าที่ผลิตรถยนต์ซีตรองขึ้นอีกหนึ่งรุ่น
ปี 2527 ยนตรกิจก่อตั้ง ยนตรกิจอินดัสตรี้ จำกัด ผลิตชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์ และรถสกูตเตอร์ ส่งทั้งของโรงงานตัวเอง และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อื่นๆ ด้วย
ถัดมาปี 2529 โฟล์กสวาเกน ก็วางใจให้ยนตร กิจเป็นตัวแทนจำหน่าย ช่วงนั้นแม้แต่น้ำมันเครื่อง "ยูโนแคล" ก็มองเห็นความโดดเด่นของยนตรกิจ
ปี 2531 ยนตรกิจตั้งบริษัทเอแอนด์เอ ออโตพาร์ท รับผิดชอบด้านการนำเข้า และอะไหล่รถยนต์ทุกยี่ห้อของยนตรกิจ
นอกเหนือจากขายรถใหม่แล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่ต้องการซื้อรถยนต์ใหม่โดยนำรถยนต์เก่ามาแลก หรือลูกค้าที่สนใจรถยนต์มือสองที่เชื่อถือได้ ยนตรกิจจึงได้จัดตั้ง บริษัท ยนตรกิจ แอ๊พพรูฟคาร์ เซ็นเตอร์ จำกัด ขึ้น เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการซื้อ-ขาย รถยนต์เก่า ในปี 2540
ปี 2541 กระแสตกต่ำทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น ยนตรกิจยุติบทบาทการขายบีเอ็มฯ โดยบริษัทแม่เข้ามาทำตลาดเอง ช่วงนั้นกระแสการคืบคลานเข้ามาของบรืษัทแม่ไม่ว่าจะเป็นเบนซ์ บีเอ็มฯ วอลโว่ มีให้เห็นชัดเจนขึ้น
ยุคนั้นถือเป็นยุคตกต่ำของอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ด้วยความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในตลาดรถยนต์ ยนตรกิจก็สามารถประคับประคองตัวเองฝ่าฟันวิกฤตครั้งนั้นมาได้สำเร็จ จนมาถึงยุคเปลี่ยนถ่ายจากเจเนอเรชั่นแรกสู่เจเนอเรชั่นที่สอง และสาม
กระแสความแตกแยกในระยะหลังเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีกระแสข่าวเล็ดลอดออกมาต่อเนื่องว่า พี่น้องหลายคนในตระกูลอยากเลิกและแบ่งสมบัติกันไปเลย แต่ก็ยังไม่ สามารถหาคนมาสืบทอดหรือดำเนินการใดๆ ต่อได้
ยิ่งตลาดมีการแข่งขันที่รุนแรง ยนตรกิจยิ่งเหมือนตกอยู่ท่ามกลางความสับสนในทิศทางของธุรกิจ ยังไม่สามารถปรับตัวหรือจัดสรรโครงสร้างการดำเนินธุรกิจได้ชัดเจนว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน
จนกระทั่งล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่าน แต่ละฝ่ายตัดสินใจ โดยฝ่ายหนึ่งที่ไม่สนใจทำตลาดรถยนต์ประกาศตัวทิ้งกิจการขายหุ้นทั้งหมดออก มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ปล่อยให้อีกฝ่ายที่ยังมีใจรักรับหน้าที่ทำต่อ
แถมกลุ่มที่รับช่วงต่อยังมีแนวคิดจะเอามืออาชีพเข้ามาเสริมศักยภาพที่มีอยู่ให้ดูโดดเด่นกว่าที่เป็นอยู่
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า "มืออาชีพ" ที่กำลังจะเข้ามาจะทำหน้าที่ได้อย่างมืออาชีพได้แค่ไหน จะหลุดพ้นจากระบบกงสี หรือการบริหารงานแบบครอบครัวใหญ่ ที่หยั่งรากฝังลึกได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ถ้าทำได้จริง "ยนตรกิจ" ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ก็น่าจะกลับมายิ่งใหญ่เทียบรัศมียักษ์ต่างชาติได้ไม่ยาก