เปอโยต์ หนึ่งในค่ายรถยุโรปที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่แข่งของค่ายญี่ปุ่นอย่างสูสี ปัจจุบันจากปัจจัยหลายหลากประการทำให้ เปอโยต์เริ่มกลายเป็นค่ายแบบนิชคาร์ ด้วยการนำเสนอรถในแบบที่แตกต่างจากคนอื่น เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าที่ชอบความไม่เหมือนใคร
โดยครั้งนี้ "ผู้จัดการมอเตอริ่ง" ได้รับเชิญเข้าร่วมทดสอบรถ 407 คูเป้ เอซดีไอ (เราขอเรียกง่ายๆ ว่า ดีเซล ก็แล้วกัน) รถสปอร์ตรุ่นเดียวในเมืองไทยที่บรรจุเครื่องยนต์ดีเซล
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้เรามีโจทย์ด้วยกัน 2 ข้อคือ หนึ่งทดสอบการใช้งานของ 407 แบบออนโรด(บนถนนใช้งานจริง) และสองเปรียบเทียบสมรรถนะระหว่าง 407 ตัวดีเซลและตัวเบนซิน เพื่อความเข้าใจที่ง่ายเราขอเริ่มต้นด้วยสเปคของรถทั้งสองคันก่อน
เปอโยต์ 407 คูเป้ ดีเซล ได้รับการบรรจุเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ไฮเพรซเชอร์ ไดเร็กอินเจ็กชั่น เทอร์โบชาร์จ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาดความจุ 2.7 ลิตร V6 รหัส DT17 TED 4 ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตรที่ 1,900 รอบ/นาที ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของเปอโยต์
เมื่อได้เห็นสเปคความรู้สึกแรกคือ โอ้ ไม่ด้อยกว่าเบนซินเลยสักเท่าไหร่ เพราะ เครื่องเบนซินนั้นมีปริมาตรความจุ 3.0 ลิตร V6 รหัส ES9A ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 290 นิวตัน-เมตรที่ 3,750 รอบ/นาที แม้เครื่องดีเซลจะมีแรงม้าน้อยกว่าแต่ทว่ากลับมีแรงบิดสูงกว่า
สำหรับการทดสอบแบบออนโรดในครั้งนี้เราใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-อยุธยา-คลอง 5 โดยออกจากโชว์รูมเปอโยต์ที่ถ.สุรวงค์ ในช่วงเวลาเร่งด่วนเพื่อไปใช้ทางด่วนจากหัวลำโพงลงสุดทางที่ด่านบางประอิน วิ่งเข้าอยุธยาแล้วย้อนกลับมาใช้เส้นพหลโยธิน แล้วจึงเลี้ยวซ้ายเข้าไปทดสอบอัตราเร่งกันที่ สนาม Bangkok Drag Avenue คลอง 5 ปทุมธานี
ความรู้สึกแรกหลังจากได้เข้าไปนั่งคือ ภายในกว้างนั่งสบาย ทัศนวิสัยชัดเจนดี แต่จะมองไม่เห็นด้านหน้ารถสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอาจจะกะระยะลำบากสักหน่อยเวลาเลี้ยวโค้งหรือเข้าจอด แต่ลักษณะแบบนี้เหมือนเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของรถสปอร์ต เพราะเท่าที่เคยประสบมารถสปอร์ตส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้านหน้ารถของตัวเอง
คันที่เราได้ขับไปนั้นเป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งการออกตัวไม่ปรู๊ด ปร๊าด น่าจะเรียกว่า ออกตัวนุ่มๆ แบบผู้ดี และด้วยตัวถังที่ค่อนข้างใหญ่และยาวการขับขี่ในเมืองอาจต้องใช้ความคุ้นเคยซักระยะหนึ่งถึงจะทำได้อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อถึงเส้นทางด่วนเราได้ลองอัตราเร่งแซงช่วงความเร็ว 80-100 กม./ชม. เจ้า 407 เบนซินทำได้ดี คิกดาวน์แล้วรถจะไม่พุ่งแต่ความเร็วจะขึ้นแบบนิ่มนวล ให้เราแซงผ่านคันอื่นได้สบายๆ ความเร็วที่ใช้เฉลี่ยประมาณ 140 -150 กม./ชม.(ขณะที่สื่อมวลชนอีกท่านหนึ่งขับ 407 คูเป้ ดีเซล ออกจากโชว์รูมหลังเราแต่ไปถึงที่หมายก่อน แสดงว่าใช้ความเร็วเฉลี่ยมากกว่าเราแน่นอน)
ก่อนจะไปถึงช่วงทดสอบอัตราเร่ง ขอตัดฉากกลับมาที่โชว์รูมอีกครั้ง ในวันและเวลาที่ต่างกัน เราได้มีโอกาสทดสอบเจ้า 407 ดีเซลอีกครั้งหนึ่ง บนเส้นทางเดียวกันกับครั้งแรก แต่คราวนี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซล เริ่มจากการออกตัวไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เสียงของเครื่องยนต์นั้นถ้าอยู่ภายนอก เครื่องดีเซลจะดังกว่าตัวเครื่องเบนซินอย่างแน่นอน แต่เมื่ออยู่ในห้องโดยสาร จะไม่มีเสียงเครื่องยนต์เข้ามารบกวนแต่อย่างใด
การเร่งแซงที่ความเร็ว 80-100 กม./ชม. ของเจ้า 407 คูเป้ ดีเซล เมื่อคิกดาวน์แล้วรถก็จะไม่พุ่งเช่นกัน แต่ความเร็วจะขึ้นแบบนิ่มๆ และดูเหมือนจะเร็วกว่าตัวเบนซินนิดหน่อย (ซึ่งเราจะได้พิสูจน์ กันในสนาม) ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ประมาณ 200 กม./ชม.
นอกจากนั้น ก่อนที่จะเข้าสนามแข่งเราได้มีการหาอัตราความประหยัดของ407 คูเป้ ทั้งเครื่องดีเซล และเครื่องเบนซิน จากการใช้งานจริงบนเส้นทางที่เราได้วิ่ง (แบบเต็มๆ ) มา ผลคือ เจ้าเบนซินมีอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 7.94 กม./ลิตร และเจ้าดีเซล 8.10 กม./ลิตร
เมื่อเจ้า 407 คูเป้ทั้ง 2 คันมาอยู่ในสนามแข่งควอเตอร์ไมล์ ที่คลอง 5 เราเพิ่งมาทราบว่าจะมีการแข่งขันแบบจริงๆ จังๆ โดยให้สื่อมวลชนทุกท่านที่เข้าร่วมทดสอบขับคนละ 1 ครั้งทุกคันและจับเวลาหาผู้ที่ทำเวลาดีที่สุดในแต่ละรุ่น ทั้งนี้ยังมี 407 รุ่น แวกอน เครื่องยนต์ดีเซล และเบนซินร่วมทดสอบในครั้งนี้ด้วยอีก 2 คัน
ซึ่งการแข่งขันจะเป็นการจับคู่ระหว่างรุ่นบอดี้เดียวกันแต่ต่างเครื่องยนต์ เพื่อดูว่าเครื่องยนต์ตัวไหนจะมีอัตราเร่งที่ดีกว่ากัน และเราขอนำเสนอผลเฉพาะรุ่นคูเป้เท่านั้นโดยเราแข่งเป็นคู่แรกใน 407 เบนซิน ส่วนคู่แข่งจาก บางกอกโพสต์ นั้นอยู่ใน 407 ดีเซล ผลคือเบนซินของเราพ่ายไปแบบฉิวเฉียด ด้วยเวลา 17.683 วินาที ต่อ เวลา 16.763 วินาที และนับเป็นเวลาที่ดีที่สุดของทั้ง 2 รุ่นในการแข่งขันวันนั้นหากเทียบกับสื่อมวลชนท่านอื่นที่ร่วมทดสอบ
จากนั้นมีการสลับรถกัน เรามาอยู่ในรุ่นดีเซล และบางกอกโพสต์ อยู่ในรุ่นเบนซิน ผลคือเราพ่ายไปอีกครั้ง ด้วยเวลาที่ย่ำแย่ทั้งคู่ โดยที่เวลาเฉลี่ยสำหรับรุ่น เบนซินอยู่ที่ประมาณ 18 วินาทีกว่า ส่วนรุ่น ดีเซล อยู่ที่ ประมาณ 17 วินาทีกว่าๆ จากการแข่งขันทั้งหมด 15 รอบโดยประมาณ
ซึ่งจากผลเวลาที่ยืนยันว่า เครื่องยนต์ดีเซล 2.7 ในตัว407 คูเป้ นั้นมีอัตราเร่งที่ดีกว่า เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ทั้งนี้คาดว่าเป็นผลมาจากแรงบิดสูงสุดที่มากกว่าและมาในรอบต่ำกว่าเพียง 1,900 รอบ/นาที นอกจากนั้นจากการสังเกตดูการแข่งขันจะเห็นว่าแม้จะออกตัวเท่าๆ กัน แต่เมื่อถึงช่วงเกียร์ 2 เจ้าเครื่องดีเซลจะเริ่มฉีกหนีอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ได้ลองอัตราเร่ง แล้วเราลองมาดูสมรรถนะในด้านอื่นๆ ของเจ้า 407 กันบ้าง โดยเริ่มที่การทรงตัว ด้วยการวิ่งที่ความเร็ว 120 กม./ชม. เจ้า 407 คูเป้ ดีเซล ยังคงนิ่งๆ เมื่อความเร็วไหลมาถึง 200 กม./ชม. (ด้วยระยะทางเพียง 1 กม.เศษ นับเป็นอัตรเร่งที่น่าประทับใจไม่น้อยเช่นกัน) ความรู้สึกไม่แตกต่างจากวิ่งด้วยความเร็วปรกติสักเท่าใด
เสียงลมแทบจะไม่มีเข้ามารบกวนภายในห้องโดยสารเลย คือถ้าเปิดวิทยุฟังก็จะไม่ได้ยินเสียงรบกวนจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเสียงลมหรือเสียงเครื่องยนต์ ทั้งๆ ที่เป็นรถแบบไม่มีขอบกระจก ซึ่งเจ้า 407 คูเป้ นี้ตามสเปคที่ให้มาสามารถปรับระดับความความแข็ง-อ่อนของโช้คอัพอิเล็กทรอนิกปรับด้วยไฟฟ้าได้ถึง 9 ระดับ
แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้น เราเห็นปุ่มที่ปรับระดับในตัวรถเพียงปุ่มเดียว ซึ่งเมื่อกดแล้วก็จะมีเพียง 2 โหมดคือ ออโต้ กับ สปอร์ต เท่านั้น โดยโหมดสปอร์ตจะรู้สึกว่าแข็งกว่าโหมดออโต้ได้อย่างชัดเจน แม้จะวิ่งช้าๆ เพียง 40 กม/ชม. ส่วนพวงมาลัยควบคุมได้ง่ายแม่นยำและจับถนัดมือดี แต่ค่อนข้างหนักไปสักหน่อย
ด้านการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องโดยสารถือว่าใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน โดยมีทีเด็ดพิเศษสุดคือ ปุ่มที่อยู่ตรงด้านบนของก้านไฟเลี้ยว เพียงกดปุ่มแล้วพูด แค่นี้ท่านก็จะปรับโหมดต่างๆ ที่มีอยู่ที่หน้าคอนโซลได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องกดปุ่มใดๆ อีก เช่น กดปุ่มแล้วพูดว่า Radio ท่านก็จะได้ฟังวิทยุทันที หรือถ้าเปิดเจอคลื่นที่ไม่โดนใจ ก็เพียงกดปุ่มนั้นซ้ำแล้วพูดว่า Next หรือ Previous ระบบก็จะหาสถานีใหม่ให้ทันที แต่การพูดต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น (ส่วนสำเนียงนั้นสามารถบันทึกใหม่ให้เป็นสำเนียงของเราได้)
สำหรับการใช้งานด้านอื่นที่ไม่ถูกใจเรา ก็มีตรงปุ่มปรับเลื่อนกระจกที่แผงข้างประตูอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถนัดสักเท่าไหร่นัก เพราะต้องเอี้ยวไหล่ไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อจะกดปุ่มได้ จริงๆ น่าจะเลื่อนมาอยู่ทางด้านหน้าอีกนิดถึงจะพอดี ส่วนที่นั่งด้านหลัง แม้จะเป็นรถแบบคูเป้ 2+2 ที่นั่งแต่ก็ยังนั่งได้อย่างสบาย หัวไม่ชนหลังคา
ผลสรุปของเจ้า 407 คูเป้ จากโจทย์ที่หนึ่ง แบบออนโรดความรู้สึกโดยรวมของเจ้า 407 คูเป้ คือ นุ่มนวล สบายๆ ขับง่ายๆ ไม่กระโชกโฮกฮากเหมือนรถสปอร์ตสายพันธ์อื่นๆ ดูแล้วน่าจะเหมาะกับผู้อยากขับรถสปอร์ตแบบให้คนอื่นมอง และต้องการอารมณ์ขับแบบง่ายๆ เหมือนรถซีดาน
ส่วนโจทย์ที่สอง อัตราเร่ง แสดงโดยผลการแข่งขัน ซึ่งมีสื่อมวลชนหลายๆ ท่านแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า แล้วใครจะซื้อรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ในเมื่อเครื่อง ดีเซล แรงกว่าแถมยังประหยัดกว่าด้วย สำหรับค่าตัวของเจ้า 407 คูเป้ เอส ดีเซลอยู่ที่ 4,290,000 บาท และเบนซิน 4,190,000 บาท
เครดิตของ
www.manager.co.th ครับ ผมว่าน่าสนใจเลยเอามาให้อ่านกัน แต่สงสัยว่าราคาทำไมมันต่างกันจังเลย เมื่อเทียบกับ 407sedan ราคา2.5-2.6ล้าน 407SW ราคา2.79ล้าน นี่ล่อมา4ล้านเลยอ่ะ หมดปัญญาจริงๆ (ไม่เกิน3ล้านพอจะสู้)