รถยนต์กับคนในอเมริกา
ได้มาเที่ยวอเมริกาที่ซานฟรานและแอลเอ ชอบรถจึงสังเกตุและดูรถที่วิ่งๆ ในอเมริกา จะหาเปอร์โยต์สักคันไม่เจอ เจอที่ซานฟรานซิสโกคันหนึงเป็น 405สีขาว ว่าจะไปถามเขาเหมือนกัน แต่ถามไม่ทัน ไม่รู้ว่ามาจากไหน และจะไปไหน แต่เปอร์โยต์ในอเมริกามีแน่เพราะเห็นกับตา แต่มีน้อยมาก ๆ เพราะไม่มีใครรู้จักมัน ถามใคร ๆ ก็ไม่เคยเห็นเปอร์โยต์ในอเมริกา
คนในอเมริกาเขาใช้รถเพิ่อการเดินทางเป็นหลัก ไม่ค่อยมีใครเอารถยนต์จอดในบ้านส่วนใหญ่จอดข้างถนนและหน้าบ้าน(หมายถึงกลางคืน) ทั้งที่ทุกบ้านมีโรงรถ แต่โรงรถส่วนใหญ่ดัดแปลงเป็นที่อยู่ น้อยมากที่คนจะเอารถไปจอดโรงรถ ทั้ง ๆ ที่ทุกบ้านมีโรงรถ รถใหม่ ๆ เช่มคัมรี ฟอร์ด มาสด้า โตต้า นิสสัน เครื่อง 2500 หรือ 3000 ถ้าเป็นบ้านเราใช้ดิสเบรคสี่ล้อและใส่ล้อแมกซ์แหง๋ แต่อเมริกาไม่ใช่ครับ ใช้แต่กระทะเหล็กฝาครอบพาสติก ล้อหลังดรัมเบรคเป็นพิ้น รถนอกอเมริกาเช่นโฟลก เบ๊นซ์ บีเอ็ม จึงจะดิสเบรก 4 ล้อ เขาใช้รถเพื่อเป็นอุปกรณ์การเดินทางจริง ๆ ไม่เน้นหรู คนแก่หง่อมเดินไม่ค่อยจะไหวยังขับรถ แก่จริงๆ อายุ 75-80 ผู้หญิงผู้ชายขับรถเหมือนกันหมด ที่น่าตกใจที่ผมเห็นคือ คนพิการนั่งรถเข็นขับรถ Ram3500 (เป็นรถปิ๊กอัพชนิดหนึ่งคันใหญ่มาก) เครื่องเทอร์โบ ใหม่เอี่ยมเจอบ่อยเลย รถบางคันเจ้าของใช้รถของเขา จนเก่า(มาก ๆ)และวางของเต็มรถเหลื่อที่อยู่ตรงที่นั่งขับอย่างเดียวจริง ๆ แบบนี้เจอะบ่อยมากด้วย เพราะเขาใช้รถเป็นรถ ส่วนใหญ่จะ ซี ซี สูง ๆ มีแต่รถในเมืองที่ประมาณ 2000 ซี ซี ถือเป็นคอมแพคคาร์ รถโฟล์คเต่าเห็นอยู่ทั่วไปยังเหลืออีกเยอะ ผมเจอะอยู่คันเห็นจอดที่สถานีรถใต้ดินพี่แกเอาไฟเบ้อร์ตัดส่วนบนของรถเหลือไว้แต่กระจกหน้ากับขอบกระจกเป็นรถสปอร์ตสมใจไปเลยเล่นง่าย ๆ รถที่คนส่วนใหญ่ใช้เป็นรถญี่ปุ่น เช่นนิสสัน โตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า สารพัดรถญี่ปุ่นและเกาหลี มีรถเกียเกาหลีเขาโฆษณารับประกัน10 ปี แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าประกันอะไรบ้าง คนไทยที่อยู่ที่แอลเอเสียอีกใช้รถใหม่ ๆ เพราะมันผ่อนง่ายเดือนละ 300 กว่าเหรียญก็พอผ่อนแล้วมีอยู่คนหนึ่งที่ทราบกลางวันทำงานออฟฟิตธรรมดานี่แหละคนไทยนะ) กลางคืนส่งอาหารตามสั่ง (to go) ด้วยรถเบนส์ ML350 หรูกว่าฝรั่งอีก รถเกือบทั้งหมดที่เห็นเป็นเกียร์ออโต้ เห็นมีเกียร์แมนน่วลไม่กี่คัน น้อยมาก คนอเมริกันทั่ว ๆ ไปไม่นิยมบำรุงรักษารถมาก ซ่อมเมื่อเสีย สังเกตุลานจอดรถตรงจุดเครื่องยนต์จะมีน้ำมันหยดพราว เป็นรอย ต่างกับรถในเมืองไทยไทยดูแลละเอียดน้ำมันเครื่องหยดไม่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายที่อเมริกามันแพง มาก ค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง(ค่าแรง) 15 เหรียญ ค่าปะยาง(ปะธรรมดา)15 เหรียญทิปต่างหาก น้ำมันตอนนี้ถูกลงกว่าที่ตอนผมมาใหม่ ๆ เมื่อ2เดือนที่แล้ว น้ำมันธรรมดาตอนนี้แกลลอนละ 2.35 เหรียญ ตอนมาใหม่ ๆ 3.07 เหรียญ กฏจราจรของที่นี่คนปฏิบัติเคร่งครัดมาก เพราะถ้าโดนจับแล้วปรับแรง เป็น 100 เหรียญขึ้นไปทั้งนั้น เช่นเลนคาร์พูล ต้องมีคนนั่งอย่างน้อย 2 คน ถ้าผิดโดนจับข้อหานี้ใน แอลเอ 271 เหรียญ ขับรถเร็วกว่าที่กำหนด (ไฮเวย์ประมาณ 65 ไมล์) ส่วนเกินประมาณไมลละ 5 เหรียญ แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่เกิน 75 ไมล์เขาก็ไม่ค่อยจับเว้นแต่ซวยมาก ๆ ไปเจอเข้า คนขับรถเขาจะระวังคนข้ามถนนมาก จะหยุดใหม่แต่โดยดี มาอยู่ 2 เดือนกว่าไม่เคยเห็นตำรวจจราจรโบกรถเลยสักครั้งเดียว ตำรวจที่เห็นเห็นแต่(ในแอลเอ) ขับรถคันเล็ก ๆ พวงมาลัยขวาคอยมาตรวจรถจอดในที่ห้ามจอดหรือจอดเกินเวลาแล้วเขียนใบสั่ง ได้ใบสั่งไม่จ่าย ไปเจอกันในศาล ไม่ไปศาลเจอะงดต่อใบอนุญาต ไม่มีใบอนุญาตแล้วขับรถเจอะค่าปรับเป็นหลายร้อยหัวโตแน่ ที่เล่ามาไม่ใช่นิยมว่าดีหรือไม่ดี แต่ถ้าตำรวจและคนขับรถบ้านเราปฏิบัติตามกฏหมายอย่างจริงๆจัง การจราจรบ้านเราที่กรุงเทพ น่าจะดีกว่านี้ แต่อย่างว่าแหละ ผังเมืองอเมริกาดีมาก ถนนเป็นตารางสี่เหลี่ยมหมดทุกหนทุกแห่งไม่มีวกวนไปมา บ้านเราคงแก้เรื่องถนนไม่ได้ แต่น่าจะแก้เรื่องการปฏิบัติตามกฏหมายอย่างจริง ๆ จัง ๆได้โดยเริ่มต้นที่ตัวเรา ที่อเมริกาเขาเข้มงวดเรื่องสิทธิใครมาก่อนต้องได้ก่อนทุกเรื่องต้องตามคิดว แม้การขับรถผ่านแยกที่ไม่มีไฟแดงเขาจะเป็นไซคลิกออเด้อร์ ใครมาหยุดก่อน ได้ไปก่อนเรียงกันไปไม่แย่งกันทำให้มีความเป็นธรรม นี่เป็นส่วนดีที่เห็น ไม่ได้ชื่นชมไปเสียทุกเรื่องของอเมริกาครับ สี่ล้อ ผิดกับบ้านเรา แจ๊สเครื่อง 1500 ล้อแมกดิสเบรคสี่ล้อแล้วสิ่งที่ขอยืนยันเรื่องรถเป็นสิ่งจำเป็นในอเมริกาอีกอย่างหนึ่งคือบ้านกับรถ ไม่มีบ้านได้ แต่ไม่มีรถไม่ได้ คือพวกคนไร้บ้าน(homeless) นอนข้างถนน ในแอลเอมีเยอะมีเป็นถนน ๆ เลย คนที่นี่เรียกว่ามนุษย์กล่องคือนอนในกล่องกระดาษริมถนน ตอนกลางคืน กลางวันไม่รู้ไปอยู่ไหน แต่เชื่อไหมว่าพวกนี้หลายคนมีรถยนต์ใช้ น่าแปลกดี รถยนต์เป็นทุกอย่าง มีคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในรถยนต์ที่เรียกว่ารถบ้าน คือรถยนต์ที่มีอุปกรณ์ภายในสะดวกเหมือนบ้านใช้ขับไปไหนมาไหนและไปจอดนอนได้ตามสวนสาธารณะและริมทะเลหรือตามสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งมีปลั๊กไฟเตรียมไว้ให้ด้วย บางคันก็มีที่ปั่นไฟฟ้าใช้เอง อันนี้เห็นกันอยู่ทั่วไป มีทั้งเอารถบ้านไปเที่ยว หรืออยู่กินกันในรถตลอดเวลาก็มี เพราะซื้อบ้านแพงกว่าซื้อรถมากนัก อีกอันคือขับรถไม่มีใบขับขี่นอกจากโดนปรับแล้วยังติดคุกอีกด้วย การสอบใบชีบขี่ที่แคลิฟอร์เนียต้องสอบ 2 ขั้นตอน คือสอบข้อเขียน(มีหลายภาษารวมทั้งภาษาไทยด้วย) สอบได้ 3 รอบ ถ้า รอบยังไม่ได้ต้อยเสีย ค่าธรรมเนียมใหม่ค่า ธรรมเนียม 26 เหรียญ ถ้าสอบได้ก็ขับรถได้แต่ต้องมีคนมีใบอนุญาต(บัตรแข็ง) นั่งไปได้ แต่ต้องไปสอบขับรถยนต์จริงให้ได้ภายใน 1 ปี มิฉะนั้นต้องไปสอบข้อเขียนใหม่ ส่วนใหญ่ทีสอบตกจะเป็นตกปฏิบัติ เพราะเขาออกไปขับในถนนจริง ๆ ด้วยความไม่ชินถนนและต้องหยุดทุกที่ที่มีป้ายหยุด แม้ไม่มีคนบนถนนก็ตาม ต่างกับในไทย วิ่งตลอดไม่ต้องหยุด แม้แต่ถนนชนบทที่ผมนั่งรถไปเที่ยวทุกแห่งก็เคร่งครัดแบบนี้ทุกคันไม่ต้องมีตำรวจมาเฝ้า น้ำมั้นที่อเมริกาต้องบริการเคิมเอง ไปจ่ายตังค์ก่อนที่ออฟฟิตในปั้มเขาจึงเปิดหัวจ่ายน้ำมันทำงาน ห้องน้ำมีไว้สำหรับลูกค้าเท่านั้นเขาจะมีสวิทเปิดประตูจากในออฟฟิตไม่ใช่ใคร ๆ ก็เข้าห้องน้ำปั้มน้ำมันได้เหมือนบ้านเรา เติมลมก็ต้องหยอดเหรียญ 50 เซนต์(ประมาณ 18บาท) ทุกอย่างไม่มีฟรีหรอกเสียตังค์ทั้งนั้น เขามีอะไหล่เก่าขายด้วยเรียกว่า "junk yard" เป็นลานกว้างหลายไร่ มีรถยนต์เก่าเสียชำรุดรุ่นต่าง ๆ จอดเต็มไปหมด เสียค่าเข้าคนละ 2 เหรียญ เอาเครื่องมือถอดเข้าไปเอง อยากได้อะไรก็ถอดเอาแล้วเอาไปให้พนักงานตีราคาแล้วค่อยนำออกไปใช้งาน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยแพง แต่มันอยู่กลางแจ้งแดดร้อนมาก ในแอลเอผมเห็นที่ถนนroscoe ที่อื่นมีหรือเปล่าไม่รู้ ส่วนใหญ่เป็นพวกแมกซิกันไปถอดและเป็นร้านของแมกซิกัน ซึ่งในแอลเอและซานฟรานมีคนแมกซิกันเยอะมาก พูดภาษาสเปน คนขายรถยนต์ในแอลเอส่วนใหญ่(เซลล์) เป็นคนแมกซิกันไม่ว่าเป็นรถนิสสัน รถใช้แล้วส่วนใหญ่(ในย่านเกลนเดลในแอลเอ) เป็นคนแมกซิกันเกือบหมด พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องเสียด้วยซ้ำไปผมยืนยันข้อมูลเรื่องสอบสองครั้งคือสอบทฤษฏีและปฏิบัติครับเป็นตามนี้คือสอบสองครั้ง ถ้าสอบทฤษฏีได้ได้ใบขับขี่ฃั่วคราวระหว่างที่ยังไม่สอบผ่านปฏิบัติ จะขับรถได้ระหว่างที่มีแสงสว่างจากพระอาทิตย์เท่านั้น และจะต้องมีคนมีใบขับขี่สมบูรณ์แบบแล้วนั่งไปด้วย ใบขับขี่ชั่วคราวเป็นกระดาษขาว ๆ ธรรมดา ส่วนใบจริงเป็นเสมือนบัตรประชาชน เขาเรียกว่า driver license ส่วนเด็กอายุเกิน 15 ปี ก็สอบใบขับขี่ได้ แต่บิดามารดาต้องเซ็นอนุญาต เมืองนี้จำเป้นต้องใช้รถจึงยอมให้เด็กใช้รถได้ เท่าที่สอบถามคนที่อยู่ที่อเมริกามาก่อนเขาว่าระเบียบมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เมื่อก่อนใครมาถึงก็สอบใบขับขี่ได้ เลยถ้าสอบผ่านใบอนุญาตอายุ 5 ปี แต่ตอนนี้เหลือเวลาเท่ากับอิมมิเกรชั่นอนุญาตให้อยู่ในอเมริกานานเท่าไรใบขับขี่ก็ได้เท่านั้น ผมเองก็ไปสอบเหมือนกัน มีคนไทยมีอาชีพให้เช่ารถและสอนขับรถด้วย ค่าเช่าครั้งละ 60 เหรียญ นัดเวลาให้เสร็จ แต่เขาไม่สามารถช่วยให้เราสอบได้ เขาไม่ใช่หน้าม้า เขาแค่เป็นผู้แนะนำและให้ใช้รถของเขาขับเท่านั้น เวลาทั้งหมดรวมติวและรวมสอบไม่เกิน 1.30 ชม.วันหนึ่งเขาสอนและพาสอบได้ 4-5 รอบ เป็นอาชีพที่ทำเงินได้ดี คนที่ผมใช้บริการเป็นสุภาพสตรี คนไทยที่จะสอบขับรถในแอลเอทุกคนรู้จักเขาดีเอ่ยชื่อใคร ๆก็รู้ เขาทำอาชีพนี้มานานมาก เจ้าหน้าที่ในdmv ยังคุ้นเคยกับเขาดี
เล่าเรื่องรถมาแล้วขอเล่าเพิ่มเรื่องที่จอดรถและการเดินทางในแอลเอและซานฟรานบ้าง ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับรถในอเมริการได้แค่สองเมืองนี้เท่านั้นเพราะเห็นรถในอเมริกาเท่านี้เอง ที่จอดรถเป็นปัญหาใหญ่มากของสองเมืองนี้ เพราะหายาก ริมถนนจะมีมิเตอร์ให้หยอดตอนจอดรถ คิดแบบผมผมว่าแพง คือประมาณ 8-12 นาทีต่อ 1 ควอเตอร์ บางแห่งจอดได้ไม่เกิน 1 หรือ 2 ช.ม. เพื่อแบ่ง ๆ ให้คนอื่นจอดบ้าง แต่ที่จอดรถเอกชนมีเยอะ แต่อย่างต่ำครั้งละ 5-7 เหรียญ ต่อ1-2 ชม.บางแห่งทั้งวัน 12-15 เหรียญ ที่จอดรถฟรีเห็นมีแต่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น แต่เขาก็เขียนกำกับไว้สำหรับลูกค้าเท่านั้น มิดฉะนั้นจะถูกยกไปและเสียค่ายกเอง ตามสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งเช่นยูนิเวอร์แซล หรือดิสนี่ย์แลนด์ ประมาณวันละ10 เหรียญ ส่วนใหญ่ใช้เครื่องอัตโนมัติทั้งการเข้าจอดการคิดเงินค่าเวลาจะใช้คนเก็บเงินเท่านั้นทุกอย่างต้องบริการตนเองหมด แน่นอนต้องเข้าคิว ใครลัดคิวจะเป็นตัวประหลาดทันทีในทุก ๆ ที่ และคนให้บริการจะไม่ให้บริการเรียกว่าทั้งโง่ทั้งอายเลยแหละเรื่องคิวในอเมริกา เรื่องที่จอดรถผมว่าบางทีมันก็โหดเอาการ ผมเช่ารถไปดู mystery spot อยู่กลางป่า ป่าจริง ๆ มันยังเก็บค่าที่จอดรถ 5 เหรียญทั่ง ๆ ที่อยู่กลางป่าที่ว่างเยอะแยะ คนไม่กล้าจอดรถในที่ห้ามจอดเพราะปรับหนักมาก เป็น 100 เหรียญ จอดซี้ซั้วไม่ได้เด็ดขาด ขนาดหน้าบ้านตัวเองแท้ ๆ แต่เป็นสนามหญ้าข้างถนนยังโดนใบสั่งเลยครับ
การเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะสะดวกทุกกรณี ในแอลเอมีรถเมล์เรียกว่า Metro ซึ่งใช้ตั๋วต่อกันได้ ขึ้นเที่ยวเดียวต่อไม่ได้ ค่าโดยสาร1.25 เหรียญ ถ้าเป็นตั๋วเหมาจ่าย เรียกว่า all day pass ทั้งวัน 3 เหรียญ ต่อรถเมล์รถไฟใต้ดินได้ทั้งวันถึงตี 3 ของวันใหม่ ส่วนด็กและคนแก่(อายุเกิน 65 ปี ถูกมาก ราว ๆ1 .ใน 4 ของค่าโดยสารปกติ)
รถเมล์มาช้ามากประมาณ 1,5 นาที ถึง 45 นาทีต่อคัน แต่เขามีตามรางกำหนดเวลาแจกบนรถเมล์อยากได้ก็หยิบเอามาอ่านได้ ผมทดลองขึ้นมาหลายสายแล้ว เขาตรงเวลามาก ผิดพลาดไม่เกิน 1 3 นาที รถเมล์ชั่วโมงปกติไม่แน่นมาก พอมี ที่นั่งยกเว้นชั่วโมงเร่งด่วน รถเมล์ไม่มีกระเป๋าเก็บตังค์ ต้องเตรียมค่ารถให้พอดีหยอดใส่ช่องข้างคนขับ ไม่มีการทอนเงิน คนขับให้ตั๋วแล้วจึงออกรถ เขามีที่นั่งด้านหน้าสำหรับคนพิการและคนแก่ คนหย่อนความสามารถ(handicap) เข้าให้ความสำคัญคนแก่และคนพิการมาก มีบรรใดพิเศษ สำหรับยกรถเข็นขึ้นรถและมีที่ล๊อกเรียบร้อยก่อนจึงออกรถ ด้านหน้ารถด้านนอกของรถเมล์ มีที่ให้คนนำรถจักรยานใส่เพื่อเอาขึ้นรถเมล์ไปได้ด้วยเก็บตังค์หรือเปล่านั้นไม่รู้ ยังมีตั๋วสัปดาห์ตั๋วเดือนอีก ถ้าขึ้นประจำจะถูกมาก ๆ สมควรซื้อตั๋วเดือนตั๋วสัปดาห์มากกว่า
รถไฟใต้ดินไม่มีคนดูแลในสถานีและในขบวนรถ เลย มีแต่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติอย่างเดียว ในรถก็ไม่มีคนขายตั๋ว อย่างนี้ก็น่ามั่วไม่จ่ายตังค์ซินะ แต่ช้าก่อน เขามีป้ายบอกไว้ว่าขึ้นรถไม่จ่ายตังค์ปรับ 240 เหรียญและบำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมง ผมอยู่แอลเอ 2 เดือน พบการตรวจประมาณ 3 ครั้ง ก็มีคนเสี่ยงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ที่เห็นไม่ใช่ฝรั่งครับเป็นคนผมดำ ไม่รู้ชาติอะไร ที่ซานฟรานก็คล้าย ๆ กัน แต่ดูมีพนักงานที่เป็นคนมากกว่าแอลเอ ทั้งคนขับรถเมล์ รถไฟฟ้า ใต้ดินบนดิน ผมไม่เคยเห็นเป็นฝรั่งผมทองเลย สักคน เข้าใจว่าฝรั่งผมทองไม่ทำงานแบบนี้ครับ รวมทั้งคนขับแทกซี่ด้วยก็ไม่เคยเห็นฝรั่งผมทองขับ ทุกที่สาธารณะต่าง ๆ รถยนต์ รถเมล์รถไฟ จะมีประกาศและเอกสารคู่มือแจกอย่างเพียงพอทำให้ง่ายต่อการใช้มาก มีทั้งตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ ตู้แลกเหรียญอัตโนมัติ ป้ายบอกทางทุกสถานี ชัดเจนไม่หลงแน่ถ้าอ่าน รถไฟฟ้าวิ่งทั้งใต้ดินบนดินไปตามถนนปนกันไปหมด คนที่นี่เขาคุ้น ไม่เคยได้ยินว่าชนกัน รถไฟฟ้าบนรางแต่อยู่บนถนน แต่พอเข้าใต้ดินก็เป็นรถไฟ แปลกดีครับ รถเมล์มีทั้งรถเครื่องยนต์และรถเมล์ไฟฟ้าครับ รถเมล์ไฟฟ้าก็เหมือนรถเมล์ธรรมดา แต่มีสาลี่เกี่ยวกับสายไฟฟ้าแต่วิ่งบนถนนเหมือนรถอี่น นั่นแหละ เงียบดีไม่หนวกหูและมีมลภาวะน้อย ในซาน ฟรานรถเมล์ไฟฟ้ามากกว่ารถเมล์เครื่องยนต์ครับ ที่ซานฟรานเรียกว่ารถ MUNI เท่าที่ผมเห็นมาด้วยตาตนเอง ไม่มีบ้านไหนที่ไม่มีทางรถยนต์ไม่ถึงบ้านครับ มีรถยนต์เข้าถึงทุกที่จริง ๆ