ในหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์ประจำทุกปี ปีละ อย่างน้อย 8 เดือน ทำให้พระองค์ทรงทราบถึงสภาพของภูมิประเทศทุกพื้นที่ ความเป็นอยู่ของประชาชน การทำมาหากิน การประกอบอาชีพด้านต่าง ๆ ปัญหาความเดือดร้อน ความอดอยาก ความขาดแคลน ความไม่รู้หนังสือ ความเจ็บป่วยของราษฎรด้วยพระเนตรพระกรรณของพระองค์ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชน ด้วยความเป็นธรรม เพื่อความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์ จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามกุฏราชกุมาร นำกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ตอนหนึ่ง ความว่า
?...ตลอดเวลาที่ผ่านมา ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงปฏิบัติพระองค์ในราชนิติธรรมของพระมหากษัตริย์ มีทศพิศราชธรรม จักรวรรดิวัตร สังคหวัตถุ พร้อมทั้งเป็นธรรมอันเป็นพละ คือกำลังของผู้ครองแผ่นดิน 5 ประการ และทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชภาระของพระมหากษัตริย์ ในอันที่จะปกป้องสรรพภัยพิบัติ และดำรงความผาสุกสวัสดิ์ของราชอาณาจักร และประชาชน อยู่สม่ำเสมอเป็นนิจ...? นอกจากนั้น ยังมีความสำคัญตอนหนึ่งที่สอดคล้อง ความว่า
?...พระราชภารกิจทั้งนั้นแม้จะเป็นภาระที่หนักและลำบากยิ่ง แต่ด้วยเหตุที่ทรงดำรงมั่นอยู่ในพระราชสัจจะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงมิได้ทรงย่อท้อหรือหวั่นไหว หากมีพระราชหฤทัยที่แน่วแน่และมุ่งมั่น ทำให้พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ที่ทรงปฏิบัติ บำเพ็ญ บรรลุศุภผล ยังประโยชน์และความผาสุกมั่นคง ให้เกิดแก่ประชาราษฎร์และประเทศไทย อย่างกว้างใหญ่ไพศาล ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทั่วทุกเขตคามในขอบขัณฑสีมาอาณาจักร จึงมีความผาสุกร่มเย็นทั่วหน้ากันด้วยพระบารมี แห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อมอยู่เป็นนิจกาล...? ทั้งหลายทั้งปวงที่ทรงกล่าว ทำให้เรามองเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงพระราชกรณียกิจมากมายมหาศาลด้วย โครงการในพระราชดำริ อันเป็นประโยชน์สู่ความอยู่ดีกินดีและความผาสุขของประชาชนของพระองค์
โครงการมากกว่า 3,000 โครงการจากพระราชดำริ ได้กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย มีทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำและดิน การพัฒนาการเกษตร การประมง การเลี้ยงสัตว์ การคมนาคม การสาธารณสุข การพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวเขาทุกเผ่า ที่เข้ามาพึ่งในพระบรมโพธิสมภาร ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนในชนบท มีงานทำ มีรายได้มากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีการศึกษาทุกคน นอกจากนี้ยังมีพระราชกรณียกิจอีกมากมายที่ลงไปยังชนบท ซึ่งการทรงงานที่หนักของพระองค์ท่านก็ ?เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม?
ในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่ผ่านมา มีพสกนิกรทั่วประเทศที่หลั่งไหลไปรวมกันบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 เห็นภาพทางโทรทัศน์ทุกช่อง ภาพและข่าวทางสื่อสิ่งพิมพ์ทุกสื่อ ประชาชนมากมายประมาณจำนวนไม่ได้ ที่สวมเสื้อยืดสีเหลือง รวมตัวยืนอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ยาวเหยียดลึกลงไปตามถนนราชดำเนิน คาดว่าน่าจะเลยอาคารสำนักงานองค์การสหประชาชาติอย่างแน่นอน ในมือทั้งสองข้างมีธงไตรรงค์และธงฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ต่างก็โบกธงไปมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีหยุด ยิ่งในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เสด็จออกมหาสมาคม เพื่อทรงรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ยิ่งทำให้ประชาชนที่มารอเฝ้ายื่นแขนทั้งสองข้างขึ้นสูงและโบกธงอย่างต่อเนื่องไม่หยุด นอกจากนั้น ต่างก็เปล่งเสียง ?ทรงพระเจริญ ๆๆๆๆ? ?ทรงพระเจริญพระเจ้าข้า? ตลอดเวลา มองเห็นหลายคนที่ยกหลังมือขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลออกทั้งสองดวงตา รวมทั้งผู้เขียนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน ด้วยความปราบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้
ภาพที่คนไทยแสดงถึงความรักในหลวงของเรามากยิ่งขึ้น และสะท้อนถึงเกียรติภูมิของประเทศไทยคือ ภาพที่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระจักรพรรดิ พระประมุขและผู้แทนพระองค์จำนวน 25 ประเทศทั่วโลก ร่วมถวายพระพรแด่องค์ราชัน ?ภูมิพล? พร้อมกับทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม
ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ ยิ่งเห็นความเหน็ดเหนื่อยจากการทรงงาน ตั้งแต่เมื่อทรงพระเยาว์จนถึงปัจจุบัน ทำให้ชาวไทยและชาวโลกเกือบทุกประเทศ กล่าวแซ่ซ้องสรรเสริญ ยกย่องพระเกียรติคุณมาตลอด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผู้นำและพระประมุขของต่างประเทศทั่วโลก ได้พระราชทาน เหรียญตรา รางวัล เครื่องอิสริยาภรณ์ โล่เกียรติยศ โล่เฉลิมพระเกียรติ มากมาย ที่นำมาถวายแด่พระองค์แห่งพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย
และล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ที่ผ่านมา สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme - UNDP) ทูลเกล้าถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (UNDP-Human Development Lifetime Achievement Award) เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณที่ในหลวงได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ ด้วยความวิริยอุตสาหะ ในการพัฒนาและยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของปวงชนชาวไทย ซึ่งรางวัลดังกล่าว เป็นครั้งแรกที่องค์การสหประชาชาติได้จัดทำขึ้นเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นพระองค์แรก และอาจจะเป็นรางวัลเพียงรางวัลเดียวเท่านั้นในโลก
ผู้เขียนมีพ่อเป็นคนจีนที่เดินทางมาจากผืนแผ่นดินใหญ่แห่ง เมืองกวางตุ้ง ประเทศจีน เข้ามา พึ่งพระบรมโพธิสมภารของในหลวง ลูก ๆ จะเรียกพ่อว่า เตี่ย
เมื่อก่อนคนจีนที่อยู่ในเมืองไทยส่วนใหญ่เดินทางมากับเรือ ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ กับ เสื่อผืนหมอนใบ กำปั่นเหล็กที่บรรจุเสื้อผ้า เตี่ยเคยเล่าให้ลูก ๆ ฟังว่า เดินทางมาเมืองไทยตามอาก๋งที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนแล้ว และอาก๋งก็มามีภรรยาใหม่เป็นคนไทย มีลูกสาว 1 คน
เตี่ยมาพบกับคุณแม่ ซึ่งเป็นคนไทย เป็นชาวร้อยเอ็ดโดยกำเนิด เตี่ยและแม่ช่วยกันทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพค้าขาย ทำขนม เตี่ยขายก๋วยเตี๋ยว หาบไปมาตามเส้นทาง มีผู้คนมาก ๆ เตี่ยจะหยุดและรอให้คนมาซื้อก๋วยเตี๋ยว เมื่อทานอิ่มแล้วก็จะหาบอุปกรณ์ปรุงก๋วยเตี๋ยวต่อไป ถ้ามีงานก่อสร้าง เตี่ย จะละจากการขายก๋วยเตี๋ยวชั่วคราว จะมารับเหมาก่อสร้าง เลี้ยงลูกทั้งหมด 10 คน และเตี่ยก็มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ลูก 7 ใน 10 คน มีอาชีพเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
ความดีใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย บนผืนแผ่นดินไทย แผ่นดินแม่ ดีใจที่อาก๋งและเตี่ยเลือกเมืองไทยและ ดีใจที่ได้เกิดในแผ่นดินในหลวง
ทั้งหมดที่กล่าว น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย ที่ชาวต่างชาติทุกชาติในโลกสงสัย และมักจะถามคนไทยว่า ทำไม...คนไทยจึงรักในหลวง.