Vlovepeugeot ชมรมคนรักเปอโยต์ (เปอร์โยต์) ประเทศไทย

หมวดหมู่ทั่วไป [ General topics ] => พูดคุยทั่วไป ได้ทุกเรื่อง => ข้อความที่เริ่มโดย: สิง(ห์)เลนซ้าย ที่ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2011 เวลา 21:39:12



หัวข้อ: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: สิง(ห์)เลนซ้าย ที่ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2011 เวลา 21:39:12
ต้องบอกไว้ก่อนว่าจะพูดถึงรถระดับชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น ระดับเหนือปกติจะไม่พูดถึงเพราะไม่มีปัญญาสัมผัส

ไม่ปฏิเสธว่าชาิติยุโรปคือผู้ค้นคิดกลไกทั้งหลายรวมถึงรถยนต์

ไม่ปฏิเสธว่าเมื่อเอารถยุโรปมาขับจะรู้สึกเหมือนๆกันทุกยี่ห้อ คือ หนุบๆหนึบๆดีทั้งที่พื้นฐานระบบก็คล้ายๆกันกับรถญี่ปุ่น แมคเฟอร์สันฯเอย เทรลลิ่งอาร์มเอย มัลติลิงค์ ดับเบิ้ลวิชโบน ฯลฯ สารพัด แต่รวมๆก็มีไม่กี่แบบในโลก แต่กลับให้ความรู้สึกที่ดีผิดไปจากรถญี่ปุ่น

แต่เคยสังเกตุมั๊ยว่ารถญี่ปุ่นโหลๆทั่วบ้านทั่วเมืองทำไมมันทนมือทนทีนดีจัง เครื่อง / เกียร์ / ช่วงล่าง / ระบบไฟ / วัสดุอุปกรณ์ภายใน ช่างก่อปัญหาน้อยเสียจริง
ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับรถแถบยุโรป ยิ่งเก่ายิ่งเห็นได้ชัด ตัวอย่างความทน เช่น
     ระบบหล่อเย็นรถญี่ปุ่นออกแบบง่ายๆแต่ได้ผลที่ดี  ใข้ชิ้นส่วนน้อย  รักษาอุณหภูมิได้คงเส้นคงวาและมีเสถียรภาพสูงเข็มงี้แทบไม่กระดิก(ที่เสียไม่เกี่ยว)
     ระบบเกียร์ทั้ง Auto และ Manual โดยเฉพาะ Auto อันนี้ไม่ต้องบรรยายเห็นกันชัดทั้งความคงทนและความเชื่อใจได้ไม่ก่อปัญหาจุกจิก
     ระบบไฟทั้งหลาย ไฟช็อต สายกรอบ ขั้วกรอบ ขั้วละลาย หลวม หลุด  Contact สกปรก ฯลฯ รถยุโรปทั้งนั้น
     ระบบแอร์รถญี่ปุ่น(ส่วนใหญ่) หลักการง่ายๆเย็นตัด-ไม่เย็นต่อ ความเย็นและความสบายแม้ไม่ Smooth เท่ายุโรปหรือพวกใช้ Heater มาคุม แต่มันง่ายและทนอ่ะ
     วัสดุภายใน(อันนี้เอารถนำเข้ามาเทียบกันเลย) รถญี่ปุ่นแม้วิ่งจนผุแต่พลาสติกยังแจ๋ว เบาะแม้จะย้วยแต่ก็ยากที่จะขาด สวิทช์ทั้งหลายยังใช้งานได้ดีไม่ติดๆขัดๆ รึว่าแตกหลุดล่อน Contact พัง  หลังคาย้วย แผงข้างล่อน รถยุโรปเจอแทบทั้งนั้น

ที่ตั้งกระทู้มาเนี่ยอยากรู้ว่าขณะที่ใช้รถ ท่านๆเคยแอบคิดแบบนี้รึเปล่า?

แล้วสรุปว่าชาติญี่ปุ่นญาติชาวเอเซียของเรากับชาติยุโรปผู้ค้นคิดนวัตกรรม ใครออกแบบและผลิตรถเพื่อใช้งานได้ดีกว่ากัน ?  :Oww:



หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: teei ที่ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2011 เวลา 22:07:31
เมืองไทย ต้องเป็นรถ หรืออะไรก็ตามที่ลงทุนครั้งเดียว ใช้ยาวชั่วโคตร  หรือ ซ่อมแบบชั่วคราว แต่ใช้ยาวชั่วโคตรก็ไม่ปาน (แบบนี้ คนไทยชอบ รับได้)
เมืองยุโรป หรืออเมริกา "อาจจะ" ลงทุนครั้งนึง ใช้งานแค่ช่วงอายุรถ หรือช่วงอายุของอุปกรณ์สิ่งนั้น (แบบนี้คนไทย ก็มีบางส่วนชอบ บางส่วนไม่ชอบและรับไม่ได้)
ลองสังเกตุดูครับ


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: Maxz-EBC Brakes ที่ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2011 เวลา 22:57:20


ผมไม่แอบคิด   แต่ นั่งคิดอยู่ทุกวัน ................

ความทน ความอึด  สำหรับเปอโยต์ ผมว่ามีดีอย่างเดียว คือ ตัวเครื่อง  ทนมือ ทนเท้า ดี  เกียร์ เปราะทั้ง ธรรมดา และ ออโต้ .........  

พอวันไหน  อยากออกไปขับรถ แบบรู้ตัวว่า  วันนี้โหมด ออฟโรด .......  ลืม เปอโยต์ ไปเลย  

วันไหน รู้ว่า แดด แรงๆ ร้อนๆ รู้ว่า ต้องเอารถไปจอดตากแดด ลืม เปอโยต์ เช่นกัน


เรื่องการออกแบบรถ สำหรับใช้งาน   ยังไง ผมก็ยกให้ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะ พวกรถกระบะรุ่นเก่าๆ  ชอบมาก ใช้กันจนลืมซ่อมไปเลย  ขับไป 7 แสน กว่า กม. เปลี่ยนแต่น้ำมันเครื่อง ถ่ายน้ำ ปั๊มน้ำ วาล์วน้ำ ท่อน้ำ แค่นั้นเอง ...............  :โอ้ววววววววววว: :โอ้ววววววววววว:


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: Thanja ที่ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2011 เวลา 23:22:18
ยุโรปกับเอเชีย สภาพทางภูมิอากาศก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้วครับ
ถ้ารถไม่ปรับสเปคของพาร์ตบางอย่างให้เข้ากับอากาศบ้านเรา ก็คงอยู่กันได้ไม่นาน..

โลกมันหมุนไปทุกวันครับ อะไรๆเดิมๆที่เชื่อกันมา บางอย่างมันก็เปลี่ยนไปแล้ว
ถ้าผมไม่รวยไปกว่านี้ เปอร์โยต์กับซีตรองก็คงจะเป็นรถยุโรปสองคันสุดท้ายในบ้านแล้ว..
รถยุโรปขับดี แต่รถญี่ปุ่นบางรุ่นก็ทำให้มันขึ้นมาตีคู่ได้แบบไม่มีความต่างจนเห็นนัยยะสำคัญเท่าไหร่แล้ว
ถ้าบริษัทแม่รถยุโรปไม่คิดจะลงทุนเข้ามาทำการตลาดเอง หรือถึงขั้นเปิดไลน์การผลิตในบ้านเราเอง
รถยุโรปก็จะกลายเป็นของพรีเมี่ยมสำหรับผู้มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายสนุกๆได้เท่านั้น..


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: supreme ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 02:41:53
ผมว่า ฝรั่งถ้าตั้งใจทำให้รถมันทนทาน ใช้กันนานๆแบบญี่ปุ่นก็สามารถทำได้ แต่ก็ไม่ทำ  มันเหมือนว่านโยบายของบริษัทหรือแผนการตลาดมันถูกหลอมกันคนละแบบ

ผมว่าฝรั่งเลือกเส้นทางผลิตภัณฑ์ของเขา ในเชิงวิจัย ค้นหาและทดลอง เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เทคนิคใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ บางทีไม่ค่อยจะสนใจที่จะปัดฝุ่นนิดหน่อย  แล้วไมเนอร์เชจออกรุ่นใหม่มาขายตอนปลายปี  ก็ไม่รู้นิสัยแบบนี้ มันเริ่มจากตอนทำอุตสหกรรมเพื่อสงครามรึเปล่า แบบว่าคิดแล้วทำ ใช้งานได้ ขาย จบ    ถึงอย่างนั้น ข้อดีก็คือเกิดภาพลักษณ์ของบริษัท แสดงถึงความก้าวหน้ากว่าบริษัทคู่แข่ง ดูจากโฆษณาเถอะ  ชอบโชว์ว่ามีระบบหรือเทคนิค...ที่คู่แข่งไม่มี   และอีกข้อคือ ฝรั่งขาดการเข้าใจความเป็นเอเซีย  อย่างฝรั่งทำรถมาเพื่อขายแถวบ้านตัวเองเท่านั้น  ซึ่งบ้านเขาหนาวจนรถไม่ต้องมีแอร์ตลอดปีก็ได้ บ้านเขาผลิตรถได้เอง  ประชาชนมีรายได้สูง จึงมีกำลังซื้อรถได้เรื่อยๆ  ไม่ผูกพันมากมายอะไร  ซึ่งมันสุดขั้วกับคนเอเซียจริงๆ  เส้นทางอุตสหกรรมรถของฝรั่งจึงเน้นเทคโนโลยีซะมาก


ส่วนญี่ปุ่นเริ่มสร้างประเทศจากอุตสหกรรมโดยการ copy & development  เพื่อผลิตครั้งละมากๆ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอุตสหกรรมผมว่าญี่ปุ่นนี่เจ๋งสุด  เทคนิคการผลิตหรือบริหารของอุตสหกรรมที่เขายอมรับกัน  มักจะเกิดที่ญี่ปุ่นทั้งนั้น และคนญี่ปุ่นนี่แกให้ความสำคัญกับคน(ลูกค้า)ก่อน แล้วมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่หลัง  งานที่ออกมาจึงเห็นได้ชัดเจนว่ามันรับใช้ และตอบโจทย์มวลชนเอเซียจริงๆ ทน ถูก ใช้งานได้  ออกใหม่เรื่อยๆ ซ่อมง่าย และงานโฆษณาจะโชว์หน้าตาใหม่ๆวิ่งไปวิ่งมา  มากกว่าจะโชว์ระบบที่ตัวเองคิดได้เอง ถึงจะไม่ใช่เทคนิคที่ตัวเองคิดค้นได้  แต่เชื่อเถอะว่า งานของเขาคืองานที่ถูกพัฒนามาว่า ต้องดีกว่า หรือถูกกว่าเดิมแน่นอน

สุดท้ายนี้  มองเขาแล้วก็หันมามองตัวเองบ้าง  ที่ผ่านมาไทยเรามีต่างประเทศมาสร้างอุตสหกรรมต่างๆมากมาย  แต่ทำไมเราถึงไม่สามารถรับเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้เองได้เท่าที่ควร เป็นลูกจ้างที่ซื่อสัตย์ไม่อับเกรดตัวเองสักที ต่างกับประเทศจีนไม่ว่าจะเทคโนโลยีระดับไม้ตีพริกยันนาโน เกษตร โลหะ เซมิคอนดักเตอร์ ฯลฯ เฮียแกบวมได้ทุกลูก ทุกแขนง บางชิ้นงานทำต้นทุนได้น่าทึ่งมากๆ บางชิ้นงานถึงจะติดลบแต่ก็แฝงฝีมือในเนื้องานอีกแหละว่า ทำได้ไง อย่าง ไข่ปลอม เนื้อปลอม EXT. HDD ปลอม

 :เครียดดูดบุหรี่:


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: สิง(ห์)เลนซ้าย ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 08:00:54
ดูจากวลีการตอบ เดาว่าน่าจะระดับ Senior ทั้งนั้น เป็นเกียรติอย่างยิ่ง..ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ

ดังนั้นเราควรมีรถญี่ปุ่นติดบ้านไว้อย่างน้อย 1 คันเพื่อประกอบสัมมาชีพ เพื่อดำเนินชีวิตประจำวัน  และ.......
มีรถยุโรปกี่คันก็ได้ที่โปรดปรานเอาไว้เวลาที่ต้องการความสุนทรีย์ในอารมณ์ และหนึ่งในนั้นชีวิตนี้ห้ามพลาด

P E U G E O T  จริงมั๊ยครับ?


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: guntuner ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 09:53:40
ใช่เลยครับผมถึงซื้อรถญี่ปุ่นใหม่รวดเดียว2คันเลยฮอนด้าซิตี้และมาซด้า2แถมด้วยยุโรปกลิ่นไอเอเซียอีก1คันคือฟอร์ดเฟสต้าภายใน1ปีสอยมา3คันเลยครับ


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: P205 ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 10:20:27
 :love love: :โอ้ววววววววววว:ซื้อรถอย่างนี้ผมต้องถูกลอตเตอรี่ รางวัลที่ 1 ถึง 10 ครั้งแน่ๆๆๆเลย :สุดยอด: :พระเจ้าจอร์ท: :มอบดอกไม้:


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: guntuner ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 11:29:32
ไม่ถึงกะต้องถูกล๊อตเตอลี่หรอกครับแค่ผ่อนเอาแค่คันละ14000บx3ครับ


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: สิง(ห์)เลนซ้าย ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 12:59:46
โห ปีเดียวซื้อรถใหม่ 3 คัน ผมกำลังอยากได้มอ'ไซค์ซักคันยังคิดเหงื่อตกกีบเลยครับ :siksik:

ณ เวลานี้คนฝั่งธนฯเช่นผมต้องการแค่นี้ละครับท่าน

ความสะดวกสบายในการสัญจรมันช่างสวนทางกับความเจริญซะจริง  เฮ้อ...กำเวง 10 โล 2 ชม.



หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: P205 ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 14:22:22

 :โอ้ววววววววววว:ข้อความโดย: guntuner ไม่ถึงกะต้องถูกล๊อตเตอลี่หรอกครับแค่ผ่อนเอาแค่คันละ14000บx3ครับ             
                   
                       :เอิ๊กๆๆๆ: :เอิ๊กๆๆๆ: :เอิ๊กๆๆๆ: สวัสดีครับ ผมมันวัยสะรุ่นแล้ว.........รุ่นแรกแย้ม  :devil: แย้มฝาโลงง๊ะ ทำมาหารับประทานไม่ได้แล้ว เดินหายใจทิ้งไปวันๆๆจะเอาปัญญาที่ใหนไปหาเงินผ่อนเขาขนาดน้าน...... เมื่อชาติที่แล้วไม่ได้ทำบุญไว้มากมาย มีแมงกะไชแก่ๆๆๆขี่ค่าน้ำมันขณะนี้ก็จะอวกแล้ว วาสนาไม่มีหลอกครับ ผมถึงได้บอกว่าต้องถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ไงเล่าครับ เพราะมันรวยเมือนกินเส้นบะหมี่ ไว ไวๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอขอบคุณอีกครั้งที่บอกวิธีให้ แต่ก็หมดปัญญาจริงๆๆๆๆ :NONONONO: :เหงื่อแตก: :หนาวจัง: :Lucky: :Lucky:


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: guntuner ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 14:44:04
 :Pika:


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: guntuner ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 15:22:23
พอดีช่วงปี53ที่ผ่านมาได้2เด้งอะครับโบนัสจาก4ดเป็น6ดเงินเดือนเพิ่มเป็นได้2ขั้นไม่มีภาระอะไรบ้านอยู่ฟรีของพ่อแม่ ลูกก็ไม่มีทั้งที่อายุก็เริ่มเยอะ40กว่าละก็เลยทําตามความชอบซะหน่อย


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: guntuner ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 15:27:21
แถมด้วย405อีก2คันครับ


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: thamrong_ph ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 20:10:59

 :โอ้ววววววววววว:ข้อความโดย: guntuner ไม่ถึงกะต้องถูกล๊อตเตอลี่หรอกครับแค่ผ่อนเอาแค่คันละ14000บx3ครับ             
                   
                       :เอิ๊กๆๆๆ: :เอิ๊กๆๆๆ: :เอิ๊กๆๆๆ: สวัสดีครับ ผมมันวัยสะรุ่นแล้ว.........รุ่นแรกแย้ม  :devil: แย้มฝาโลงง๊ะ ทำมาหารับประทานไม่ได้แล้ว เดินหายใจทิ้งไปวันๆๆจะเอาปัญญาที่ใหนไปหาเงินผ่อนเขาขนาดน้าน...... เมื่อชาติที่แล้วไม่ได้ทำบุญไว้มากมาย มีแมงกะไชแก่ๆๆๆขี่ค่าน้ำมันขณะนี้ก็จะอวกแล้ว วาสนาไม่มีหลอกครับ ผมถึงได้บอกว่าต้องถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ไงเล่าครับ เพราะมันรวยเมือนกินเส้นบะหมี่ ไว ไวๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอขอบคุณอีกครั้งที่บอกวิธีให้ แต่ก็หมดปัญญาจริงๆๆๆๆ :NONONONO: :เหงื่อแตก: :หนาวจัง: :Lucky: :Lucky:
ผมติดตามกระทู้และคำตอบของคุณ P205 มาโดยตลอด รู้สึกถึงความจริงใจ ตรงไปตรงมามาก ๆ ขอคารวะครับ


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: nun ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 20:39:55
ยังไงผมก็ยังรักเปอร์โยต์ครับ เพราะมันทำให้ผมเก่งหลายๆอย่าง มันสอนผมหลายๆอย่าง และรถคันแรกในชีวิตของผมก็ใช้ 505 อีกทั้งเปอร์โยต์ก็เป็นรถที่ทำให้ผมได้รู้จักหลายๆท่านในเว็บแห่งนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาผมจะเคยใช้รถชาวเอเชีย แต่ก็ตัดใจจากเปอร์โยต์ไม่ได้จนต้องหา 405 มาใช้ (รถเอเชียผมใช้ สตราด้ายังคงใช้อยู่  แอคคอร์ด ขายไปแล้วครับ) แม้ว่ามันจะเป็นรถเก่าแต่ผมก็เพียรพยายามดูแลมันอย่างดี พังจุดใหนผมก็ซ่อม ถ้าวันไหนไม่พังผมก็ตรวจเช็ค เพื่อเตรียมพร้อมลุยทุกเวลา


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: pha ที่ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2011 เวลา 23:31:01
    คิดซิครับ แต่ จะตอบได้อย่างใง ในเมื่อ ต่างค่าย ต่างก็มีข้อดี และ ข้อเสีย ที่ต่างกันไป แล้วแต่ว่าเรารับของใครได้มากน้อยแค่ไหน ก็ชอบอันนั้น (จิง มะ)
***ผมมีข้อสังเกตุข้อนึง ที่ผมกล้าฟันธง ว่า จริงอย่างที่ผมคิด*** คือ..
     รถยุโรป อายุ 15 ปี  พบ รถค่ายเอเซีย อายุเท่ากัน "ใช้งานมาเหมือนกัน",,,,,,,,,,,,
ไปดูกันที่ตัวถังซิครับ พี่น้องครับ  ของใครเหลือมากกว่ากัน (ผุน้อยกว่า หรือไม่ผุเลย)
   แฟนพันธ์แท้ หรือ คนใช้ Peugeot ....ย่อมรู้ดี  จิงมั๊ย คราบบบบ พี่น้องคร๊าบบบบ
 :Mad:


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: WAT_7229 ที่ วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2011 เวลา 10:03:34
ต่างนโยบาย  ต่างคอนเซ็บ ครับ



หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: AB NORMAL ที่ วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2011 เวลา 12:07:59
มันต่างที่ "ต่างจิต ต่างใจ" ครับ


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: สิง(ห์)เลนซ้าย ที่ วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2011 เวลา 14:12:20
เอาละครับ วันนี้ไปเปิดอ่าน User Manual มาเห็นอะไรแว๊บๆพอจะเดานโยบายบ.ผู้ผลิตรถแถบยุโรปยุคใหม่ได้หน่อย

เพื่อให้สอดคล้องตามกฏปี 2002 :
หัวข้อ Airbag : "ระบบถูกออกแบบให้ใช้งานได้ 10 ปี"
หัวข้อเข็มขัดนิรภัยระบบ Pre-tensioners  : "ระบบถูกออกแบบให้ใช้งานได้ 10 ปี"
และ "รถทั้งคันใช้วัสดุหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) จำนวน 85 %"

ดังนั้นไม่แปลกใจแล้วว่าระบบไฟทำไมถึงรวน อุปกรณ์พลาสติกทั้งหลายถึงดูแข็งแรงเหมือนข้าวเกรียบ (ข้อนี้ตระกูล วี ดับบลิว ซึ้งอยู่แก่ใจ)
แต่.......ยุโรปรุ่นพี่ๆยุคก่อนก็เป็นนี่นา รึว่า Recycle กันมานาน

ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ใช่จะกล่าวร้ายให้รถยุโรป เพราะผมก็ชอบมาเสมอทั้งใช้ทั้งซ่อมอย่างหนุกหนานจวบจนปัจจุบันก็ยังมีซ่อมเอ๊ย..ใช้อยู่
แต่บางอารมณ์อยากใช้แบบลืมซ่อมบ้างก็ไม่มีคันไหนสนองได้ซะที  เลยนึกสงสัยว่าฝรั่งเขาทำให้มันทนกว่านี้ไม่ได้รึไงนะ  อยากขายอะไหล่รึไง
แต่รถญี่ปุ่นก็อยากขายอะไหล่เหมือนกันนี่ทำไมมันทนกว่าละเหวย  จะว่าเป็นที่ภูมิภาคที่ออกแบบจากประเทศเมืองหนาวก็ไม่น่าใช่
เพราะว่าผลิตขายแบบ World Wide ส่งไปทั่ว  วิศวกรระดับนั้นน่าจะคิดเผื่อไว้บ้าง และประเทศญี่ปุ่นก็มีหิมะตกและรถก็มี Heater เหมือนกันหนิ

จึงเป็นที่มาของหัวข้อ "ใครแน่กว่าใคร?" เพื่อเปิดโลกทัศน์และวิสัยทัศน์ของตัวเองนี่ละครับ

ขอบคุณทุกความเห็นมา ณ ที่นี้


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: Maxz-EBC Brakes ที่ วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2011 เวลา 18:48:53
เรื่องพลาสติก ภายในกรอบแกรบ  มีบางยี่ห้อ หนักกว่า  PG เราอีกครับ  แต่ขอไม่บอกนะ เดี๋ยวว่า Bias .....


หัวข้อ: Re: ใครแน่กว่าใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: madmax ที่ วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2011 เวลา 15:15:30
ทำให้ทนทาน  ผมว่าฝรั่งทำได้ครับ แต่ในยุโรปมันติดเงื่อนไขที่ว่ารถคันนึงต้องมีวัสดุรีไซเคิลกี่เปอร์เซนต์

อะไรประมาณนี้แหละ  เลยทำให้ต้องเอาวัสดุห่วยๆมาทำ     ยุโรปเงื่อนไขทางด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม

มันมันเยอะ   เอาง่ายๆอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาเกินกำหนดมาตรฐานอะไรซักอย่าง

จำไม่ได้ ก็ไม่สามารถวางขายได้    อันที่จริงการทำพลาสติกให้เหนียวๆทนๆไม่ใช่ของยาก เมืองไทยก็ทำได้

สบายมาก ดูกระจกข้างรถมอเตอร์ไซด์ซีครับ ตากแดด ตากฝนเป็นสิบปีก็ยังเหนียวไม่กรอบ