หลังจากที่แบรนด์เปอโยต์ ค่ายรถจากประเทศฝรั่งเศส เปลี่ยนตัวผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายจากกลุ่มยนตรกิจ มาสู่ เปอโยต์ ไทยแลนด์ ภายใต้การบริหารของบริษัท บริษัท เบลฟอร์ต ออโตโมบิล(ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในกลุ่มธุรกิจของ MGC-ASIA เชื่อว่าหลายคนคงเกิดคำถามมากมายว่า หลังจากนี้แบรนด์เปอโยต์ จะเป็นอย่างไร ทำตลาดจริงจังแค่ไหน รถโมเดลใหม่ที่เปิดตัวมาจะเป็นอย่างไร รวมถึงการให้บริการหลังการขาย และศูนย์บริการ โชว์รูมจะเป็นอย่างไร ... วันนี้ทีมงาน Carzanova จะมาวิเคราะห์ถึงแบรนด์รถยนต์ค่ายนี้กันว่าจะเป็นอย่างไร
มั่นใจได้ภายใต้การบริหารของ MGC-ASIA
อย่างแรกที่ผู้บริโภคหรือลูกค้าอยากรู้คือความมั่นใจในการจะซื้อรถแบรนด์นี้ไปใช้ และแน่นอน บริษัท เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด คือหนึ่งในบริษัทลูกของกลุ่ม บริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด หรือ MGC-ASIA ที่เป็นผู้ถือสิทธิ์นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์หรู ซูเปอร์คาร์ หลากหลายแบรนด์ อาทิRolls-Royce, Aston Martin และ Maseratiรวมไปถึงเรือยอร์ชหรู อย่างแบรนด์ Azimutจากประเทศอิตาลี นี่ยังไม่รวมถึงการเป็นตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์รถยนต์หลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น BMW, MINI,Honda และบิ๊กไบค์อย่าง BMW Motorad และ Harley Davidson ซึ่งเพียงเท่านี้ก็น่าจะการันตีถึงความพร้อมในการเข้ามาเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์จากประเทศฝรั่งเศส แบรนด์เปอโยต์
เปิดราคามาน่าสนใจทั้ง2 รุ่น ราคาไม่ถึง 2 ล้านบาท
หลังจากเปิดตัวผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเจ้าใหม่แล้ว ก็ได้เปิดตัวรถยนต์ที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยล๊อตแรก 2 รุ่น นั่นก็คือ Peugeot 3008 และ Peugeot 5008 รถสไตล์ SUV ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ด้วยราคาที่น่าสนใจ โดยทั้ง 2 โมเดล จะมีให้เลือกด้วยกันอย่างละ 2 รุ่น Peugeot 3008 Active ราคา 1,549,000 บาท และ Allure ราคา 1,699,000 บาท ขณะที่ Peugeot 5008Activeราคา 1,749,000 บาท และ Allure ราคา 1,899,000 บาท
ซึ่งเมื่อเห็นราคาที่เปิดตัวออกมาแล้วต้องบอกว่าถ้าเทียบกับรถญี่ปุ่นเจ้าเปอโยต์ทั้ง 2 โมเดล วางราคาอยู่สูงกว่ารถSUVญี่ปุ่น อยู่เล็กน้อย ในขณะที่ถ้าเทียบกับรถยุโรปด้วยกัน ก็จะมีราคาที่ต่ำกว่าอยู่พอสมควร ด้วยกลยุทธ์การวางราคาแบบนี้ ก็น่าจะเรียกกลุ่มลูกค้าที่ต้องการขยับจากรถญี่ปุ่นไปเป็นรถยุโรป แต่ควักกระเป๋าจ่ายในราคาที่มากกว่ากันไม่เท่าไหร่นั่นเอง
มีรางวัลการันตีจากทั่วโลก
สำหรับรถยนต์เปอโยต์นั้น ในอดีตนั้นได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคคนไทยอยู่แล้วไม่น้อย และแน่นอนว่าเปอโยต์ ที่เพิ่งเป็นตัวมาทั้ง 2 โมเดลนี้ คุณภาพและสมรรถนะก็เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก โดยได้รับรางวัลต่างๆ จากทั่วโลกมามากกว่า 30 รางวัล อาทิ‘Car of the Year 2017’ ที่รถยนต์เปอโยต์ 3008 ได้รับติดต่อกันในช่วงปี 2017-2019, รางวัล Red Dot Product Design Award ดีไซน์ภายนอกและห้องโดยสารยอดเยี่ยม 2017 จากเยอรมนีสำหรับ เปอโยต์ 3008 เอสยูวี จากความโดดเด่นของการออกแบบห้องโดยสาร i-Cockpit® พวงมาลัยแบบคอมแพ็ค ระบบ heads-up display และทัชสกรีนขนาดใหญ่ ทำงานร่วมกับสวิชต์แบบเปียโนคีย์ที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ขับขี่ในรูปแบบใหม่, รางวัลแบรนด์ที่เชื่อถือได้มากสุดในปี 2019 ‘Most Dependable Volume Brand’ โดย J.D. POWER UK Vehicle Dependability Study โดยผู้เจ้าของรถยนต์ในสหราชอาณาจักรจำนวน 11,000 คน จากระยะเวลาการใช้งานจริง 12 -36 เดือน ซึ่งเป็นการสำรวจความพึงพอใจในแง่ความน่าเชื่อถือ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา และคุณภาพในการผลิต, รางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ‘International Engine of the Year Awards’ ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 4 (2015-2018) โดยนิตยสาร Engine Technology International โดยเครื่องยนต์ Turbo PureTech ได้รับการลงมติเป็นเอกฉันท์โดยผู้สื่อข่าวสายรถยนต์ 76 ท่านจาก 36 ประเทศ และรางวัลรถใหม่ยอดเยี่ยมปี 2019 ‘New Car of the Year’ โดย Auto Trader New Car Awards จากสหราชอาณาจักร โดยมีผู้อ่านนิตยสาร Auto Trader กว่า 63,000 คนในสหราชอาณาจักรได้โหวตให้เปอโยต์ 3008 เอสยูวี ได้รับคะแนนสูงสุดจากจุดเด่น 16 อย่าง ตั้งแต่ความน่าเชื่อถือไปจนถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา เป็นต้น
โชว์รูม และศูนย์บริการหลังการขาย จะเป็นอย่างไร
เรื่องนี้เชื่อว่าเป็นหนึ่งในคำถามหลักของคนจะเข้ามาเป็นซื้อรถยนต์เปอโยต์ ว่าโชว์รูม และศูนย์บริการจะมีเยอะมั้ย ซึ่งแน่นอนว่าทาง เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เพิ่งเริ่มเข้าทำตลาดในประเทศไทย แรกๆ จำนวนโชว์รูม และศูนย์บริการ น่าจะยังมีไม่มากโดยเท่าที่ทราบมาตอนนี้กำลังเร่งก่อสร้างโชว์รูม และศูนย์บริการ แห่งแรกบริเวณถนนเกษตร-นวมินทร์ และในปีหน้าจะมีการขยายเพิ่มในกรุงเทพฯ อีก 3 แห่ง พัฒนาการ, เยาวราช และพารากอน ขณะที่ในต่างจังหวัดปีหน้า จะขยายไปโซนทางใต้ก่อนที่ภูเก็ต และหาดใหญ่ โดยในปีถัดไป มีแผนที่จะเปิดเพิ่มในต่างจังหวัดอีก 8 แห่ง และถ้ารถยนต์เปอโยต์ได้รับการตอบรับที่ดี การขยายเครือข่ายโชว์รูม และศูนย์บริการ ก็ไม่น่าใช่ปัญหา นักธุรกิจก็น่าจะสนใจเข้ามาเป็นดีลเลอร์ ซึ่งก็น่าจะเพิ่มเครือข่ายให้มากขึ้นในอนาคต
การดูแล และการรับประกัน
สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์เปอโยต์ จะได้รับแพ็กเกจบำรุงรักษานาน 3 ปี หรือ 60,000 กม. ซึ่งแพคเกจนี้ก็จะเหมือน BSI ของทาง BMW หรือ MSI ของทางมินิ คือซื้อรถไปแล้ว 3 ปีแรก หรือระยะทาง 60,000 กิโลเมตร ไม่ต้องเสียเงินในการบำรุงรักษาเลย
ในขณะที่การรับประกันคุณภาพรถยนต์ อาจจะยังสู้บางแบรนด์ไม่ได้ ที่ปัจจุบันยืดอายุการรับการประกันให้นานถึง 5 ปีกันแล้ว แต่ทางเปอโยต์จะให้การรับประกันนานเพียง3 ปี หรือ 100,000 กม.
ราคาขายต่อ
ถ้ามองถึงราคาขายต่อ เรื่องนี้เป็นที่แน่นอนว่ารถยนต์เปอโยต์ ราคาขายต่อจะตกกว่าแบรนด์รถยนต์ยี่ห้ออื่นอยู่ซักหน่อย ซึ่งถ้าใครเป็นคนชอบเปลี่ยนรถบ่อยๆ ก็คงต้องทำใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับบทวิเคราะห์แบรนด์รถยนต์เปอโยต์ ที่เปลี่ยนมือผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย มาอยู่ใต้ปีกของ เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) หรือเปอโยต์ ไทยแลนด์ ซึ่งก็น่าจะเห็นถึงทิศทางการทำตลาดที่น่าจะดีมากขึ้น ส่วนเรื่องคุณภาพของตัวรถ เรื่องนี้เชื่อว่าหลายคนยอมรับถึงคุณภาพกันอยู่แล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร กับเจ้าสิงโตเขย่งเท้าตัวนี้กันแล้วล่ะครับ...