ตอบ
ต่อให้จบเลยและกันนะครับ จะได้มีข้อมูลในการเลือกกระทะล้อ และยาง ผมจะได้รื้อความรู้เก่า ๆ มาด้วย ตอบต่อจากพี่ 8ช-xxxx ไม่ต้องไปคำนวณให้ยุ่งยากแล้วครับ สูตรที่บอกให้นั้นก็สรุปมาจากการคำนวณเส้นรอบวงของยางที่ใกล้เคียงกัน เพราะความกว้างของหน้ายาง จะเป็นสัดสวนกันเจ้าตัว series อยู่แล้ว
สำหรับการเลือกกระทะล้อนั้น กระทะล้อที่เหมาะสมกับยางจะต้องมีความกว้างประมาณ 70-75% ของความกว้างของยางนะไม่ใช้ความกว้างของหน้ายางคือ 205/60R15 เราก็เอา 205*75% = 153.75 มม. แล้วเปลี่ยนให้เป็นนิ้วโดยคูณ 153.75 x 0.039 = 5.996 นิ้ว ประมาณแล้วคือ 6 นิ้ว แต่เท่าไมด้านบนจึงบอกว่า 6 หรือ 6.5 นิ้ว เพราะมันเกี่ยวกับการเข้าโค้งด้วย ตามหลักบอกไว้ว่า " ถ้าใช้กระทะล้อที่มีขนาดความกว้างใหญ่ขึ้น ค่า Cornering force ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ไม่ควรเกินไปกว่าค่ามาตรฐานที่มากกว่า 0.5 นิ้ว เพราะอาจจะทำให้ยางรถยนต์หลุดจากกระทะล้อได้ในตณะที่กำลังเข้าโค้ง"
ปัญหาต่อไปก็คือ แล้วไอ้เจ้า Cornering Force คืออะไร มันก็คือ แรงยึดเหนี่ยวที่เกิดขึ้นจากแรงเสียดทานระหว่างยางกันพื้อนถนน เจ้าแรงนี้มันจะไปต้อนแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (Centifugal Force ที่จะทำให้รถของเราลื้นไถล ) เพราะฉะนั้นถ้าเรายิ่งได้แรง Cornering Force เพิ่มมากเท่าไร ยางจยิ่งยึดเกาะถนนดีมากขึ้นใจกรณีเข้าโค้ง เพราะฉะนั้น ผมถึงจะเลือก ความกว้างที่ 6.5 นิ้วสำหรับ 205/65R15 แต่ถ้า 195/65R15 ผมคิดว่ากระทะเดิม 6 นิ้ว เหมาะสมมากที่สุดแล้ว
ผลเสียจากกระทะล้อกว้างเกินไป
1.ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
2. ดอกยางสึกผิดปกติ
ผลเสียจากกระทะล้อแคบเกินไป
1. ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง
2. ขอบยางเสียหายได้ง่าย
3. ดอกยางสึกผิดปกติ
การเปลี่ยน shock absorber ที่มีความหนือมากขึ้นจะช่วยให้ขับขี่มั่นใจ นิ่งขึ้น เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้ว มันจะไปหยุดก็สั่นเต้นของสปริง แต่ถ้าจะให้เกาะถนนดี และเข้าโค้งได้มันใจ ก็ต้องเพิ่มขนาดหน้ายาง หรือ ลดความสูงของยาง (series) ถ้าทำได้ทั้ง 2 อย่างก็จะยิ่งดีครับ แต่ก็จะต้องเสียความนุ่มนวลไป จากประสบการที่อยู่กันยางมาพอสมควร อันนี้ความเป็นส่วนตัวนะครับ คิดว่าถ้าขับความเร็วสูงเป็นประจำคือทุก ๆ วัน ความใช้ยาง series ประมาณ 55 แต่ถ้าต้องการความนุ่มนวลด้วยและจะขับความเร็วเป็นบางครับคิดว่า series ประมาณ 60 สำหรับหน้ายางก็ตามสูตรการเปลี่ยนยางด้านบนนะครับ
ยางที่ขาย ๆ กันอยู่ในตลาดทดแทนจะมี 2 ประเภท หรือ บางที่แบ่งเป็น 3 ประเภท
1 sport ( RE 711, sport, F1, sz50 other)
2. comfort ( Vivacy, certis, turanza er 60, nct 5, tz 100 other)
อีกประเภทหนึ่งจะเป็น กึ่ง sport
ต้องเลือกยางควรจะต้องดูว่า ชีวิตประจำวันเราการขับขี่เป็นแบบไหน
1.ยาง sport จะเหมาะกับคนที่ชอบความเร็ว การเข้าโค้งแรง ๆ รีดน้ำดี ๆ แต่ข้อเสียจะมีเสียงดัง เพราะการออกแบบดอกยางจะค่อนข้างใหญ่ และเนื่องยางจะต้องแข็งเพื่อได้ แก้มยางจะให้ตัวได้น้อย เพื่อจะได้สัมผัสถนน เต็มที่ตลาดเวลา
2.ยางประเภท Comfort จะนุ่ม เงียบ เพราะส่วนประกอบของเนื้อยางอ่อนกว่า ก็จะต้องแลกมากับสมถนะการขับขี่ที่ด้วยลงด้วย
3. กึ่ง sport ตามความคิดผมนะ พวกนี้ผมคิดว่าเหมาะสมเรา ๆ ท่าน ที่จะเอาทุก ๆ อย่าง คือ สมรรถนะการขับขี่ดี และเงียบด้วย แล้วแต่บริษัทนั้นจะทำยางค่อนไปทางด้านไหน ยางประเภทนี้จะเป็นยางนำเข้าส่วนให้ที่ผมแนะนำไป yoko 539 bridgestone er 50 or grid II, sport primacy, แต่ถ้าเอาประหยัดทำให้เมืองไทยที่พิสูจน์ กับเพื่อน ๆ แล้ว และสอบถามด้านเทคนิค แล้วว่าผ่าน คือ Firestone sz 50 ครับ ตัวนี้ไม่เกี่ยวกับที่ Americaนะ เพราะเพื่อนใช้อยู่ 10 คันแล้ว ติดใจทุกคน (ถูก เพื่อน ๆ ผมมันขี้เหนียว) อย่าเชื่อผมมากนะครับ เดี๋ยวใช้ไม่ดีแล้วมาว่าผม ผมไม่ได้ Promote แต่ผมข้อมูลที่พิสูจน์ มาบอกกัน
การบำรุงรักษายาง
เมือเปลี่ยนมาแล้ว ไม่ใช้เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลยไม่เคยดีแลเลยนะ
1. ในกรณียางใหม่ ให้เพิ่มความถึ่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ (ในช่าง 3,000 กมแรก) เนื่องจากโครงยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลง
2. ตรวจเช็คลมยางและปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตรากำหนดเป็นประจำ ขณะที่ยางยังย็นอยู่นะ อันนี้ขอย่ำ ความมีเกจวัดลมยางติดรถเลย เพราะเคยเจอที่ปัมน้ำมันเพี้ยนเป็น 10 psi เลย ลมก็ไม่ตรง เพราะวิ่งมาแล้วความดันจะขยาย ควรทำต้องเช้าก่อนออกจากบ้าน และถ้าจะเติมลมก็ให้หาปัมที่อยู่ห่างจากบ้างไม่เกิน 2 กม. เพราะถ้าเลยลมจะเริ่มไม่ตรงแล้ว
3. รถที่ขับด้วยความเร็วสูง ให้เติมลมยางให้มากกว่าปกติ 3-5 psi
4. ในกรณีที่เปลี่ยนยางใหม่ให้วิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กม/ชม เป็นระยะทางอย่างน้อย 200 กม หรือวิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กม/ชม เป็นระยะทางอย่างน้อย 300 กม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของยางก่อนใช้งานในสภาพทั่วไปซึ่งเรียกว่า Tire Break - in เพราะถ้าเพื่อน ๆ เปลี่ยนยางใหม่ เวลาวิ่งออกมาจะรู้สึกว่ายางมันเลื้อย ๆ ไหล ๆ ก็คือเหตุผลอันนี้นะ พยายามทำหน่อยนะครับถึงจะไม่ถึงก็ได้
5. สับยางทุก ๆ 5000-10000 กม จากประสบการณ์ น่าจะประมาณ 8000 กมนะ ยิ่งพวกยาง sport ดอกยางเป็นก้อน จะต้องยิ่งสับยางเร็วขึ้น ก็ประมาณ 8000 กมละ เพราะถ้าล้อให้ถึง 10000 กม ดอกยางจะเป็นบังโดยธรรมชาติของตัวมันเองอยู่แล้ว จะทำให้มีเสียงดังมากขึ้น
ก็พอแค่นี้ก่อนนะครับถ้าง่วงนอนแล้ว เดี๋ยววันหลังจะเขียนให้อ่านต่อ ตอนนี้กำลังทดลองลมยางไนโตรเจนอยู่ใช้เติมแทนลมยางปัจจุบัน เป็นชนิดเดียวกับที่เติมในยางเครื่องบิน ตอนนี้ร้านยางในต่างจังหวัดเริ่มทะยอยมีกันแล้ว แต่ในกทม.ไม่ค่อยมีใครกล้าลงทุน เพราะค่าเติมประมาณ 50 บาทต่อล้อ ขอโทษที่ไม่ได้เกี่ยวกับ Peugeot เท่าไร แต่คิดว่ามีประโยชน์ กับพวกเราที่ใช้รถทุก ๆ คน เพราะร้านยางชอบให้ข้อมูลไม่ค่อยถูกต้อง ส่วนใหญ่จะเน้นขายที่มีกำไร มาก ๆ โดยไม่ได้ถามลูกค้าว่าใช้รถอย่างไร ขับขี่อย่างไร ห่า ห่า นอนดีกว่า
โดยคุณ : Gump
[ 28 ต.ค. 2544 , 00:21:41 น.]
|